วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

กินไขมันกันอ้วน !?

แม้การลดความอ้วนด้วยวิธีควบคุมอาหารจะมีมากมาย แต่การกินน้ำมันมะพร้าวเพื่อลดน้ำหนัก คือกินไขมันเพื่อลดไขมัน ซึ่งเป็นวิธีการแบบหนามยอกต้องเอาหนามบ่งนี้ พบว่าจะทำให้น้ำหนักลดลงได้ 4-5 กิโลกรัม ภายใน 1 เดือน
น้ำมันมะพร้าวลดอ้วน
น้ำมันมะพร้าวจัดเป็นน้ำมันพืชชนิดแรกๆ ที่เรารู้จักและนำมาใช้ปรุงอาหารหรือบำรุงความงาม เช่น ทาผิว หมักผม เป็นต้น แต่ภายหลังนิยมบริโภคน้อยลง เพราะมีกรดไขมันอิ่มตัวสูงทำให้อ้วนและเกิดไขมันสะสม ส่วนน้ำมันมะพร้าวที่กินเพื่อลดความอ้วนในปัจจุบันไม่เหมือนกับน้ำมันมะพร้าวแบบเดิมที่สกัดโดยใช้ความร้อน แต่เป็นน้ำมันมะพร้าวที่เรียกว่า Virgin coconut oil ซึ่งผ่านกระบวนการหีบเย็น คือ ใช้วิธีการปั่น บีบน้ำมันออกมาโดยตรง หรือการแยกหมักด้วยแบคทีเรียเพื่อแยกน้ำมัน และด้วยกรรมวิธีที่แตกต่างนี้เองที่ทำให้สรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวสองชนิดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยชนิดใหม่จะช่วยลดความอ้วนและไม่ตกค้างในร่างกาย
น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีองค์ประกอบของกรดไขมันที่มีประโยชน์อยู่มาก โดยเฉพาะกรดไขมันความยาวขนาดกลาง (มีเดียมเชน ไตรกลีเซอไรด์) ซึ่งเมื่อกินเข้าไปจะมีปฏิกิริยาคล้ายน้ำตาล คือ จะถูกส่งผ่านกระแสเลือดโดยตรง จึงเข้าสู่เซลล์และสลายตัวได้เร็ว แตกต่างจากน้ำมันพืชชนิดอื่น นอกจากนี้ยังพบสารไมโตรนิวเตรียนบางตัวที่อยู่ในมะพร้าว เช่น กลุ่มฮอร์โมนพืช ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพและช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง
ทฤษฎีลดน้ำหนัก
การกินน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์เพื่อลดความอ้วนเป็นแนวคิดของแอ็ตกินไดเอ็ต (Atkins Diet) ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในดาราฮอลลีวู้ด เช่น เจนนิเฟอร์ อนิสตัน โดยมีหลักการว่า ต้องลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งอินซูลิน ซึ่งส่งผลต่อการสะสมไขมันของร่างกาย หากงดกินแป้งและกินแต่ไขมัน ไขมันจะกดความอยากอาหาร เมื่อกินไปสักระยะเราจึงกินน้อยลง
น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหารได้ดีกว่าไขมันชนิดอื่น ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย กระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ และสร้างความร้อนได้เร็วจึงไม่สะสมในร่างกาย ทฤษฎีแอ็ตกินแนะนำให้กินน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ควบคู่กับอาหารแบบโลว์คาร์บ คืออาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ โดยอาจนำมาผสมกับสมูตตี้ น้ำสลัด หรือซอส วันละ 2-3 ช้อนโต๊ะ
ทั้งนี้ศาสตราจารย์ ดร. วินัย ดะลันห์ หัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยานิพิดและไขมัน จุฬาฯ ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวคิดดังกล่าวว่า "สามารถทำได้จริงและเห็นผลดี แต่ควรอยู่ภายใต้การแนะนำของนักโภชนาการ หากกินติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกิน 2 เดือนขึ้นไป ควรกินแคลเซียมเสริมเนื่องจากการกินอาหารมันๆ จะมีผลต่อการดูดซึมแคลเซียมของร่างกาย"
โฆษณาชวนเชื่อ น้ำมันมะพร้าวลดอ้วน
ในบ้านเรากระแสการกินน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์เพื่อลดความอ้วนเริ่มแพร่หลาย แต่ยังมีความเข้าใจผิดเรื่องวิธีใช้และสรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์อยู่มาก ศาสตราจารย์ ดร. วินัย ดะลันห์ กล่าวว่า “มีการให้ข้อมูลผิดๆ ว่าน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์เป็นแหล่งของกรดไขมันพวกรอลิค (ซี12) สูง ซึ่งถ้าบริโภคในปริมาณมากและต่อเนื่องจะทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังมีการอ้างสรรพคุณเกินจริง เช่น น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีสรรพคุณคล้ายกับสารที่มีอยู่ในน้ำนม ซึ่งจริงๆ แล้วน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีกรดไขมันพวกคาพริลิค (Caprylic) ที่สลายพลังงานได้เร็วและมีคุณสมบัติคล้ายคาร์โบไฮเดรต คือจะถูกย่อยสลายในลักษณะคล้ายน้ำตาล แต่ต่างกันตรงที่ไม่ต้องใช้อินซูลีน”
"ส่วนข้อแนะนำการบริโภคที่ให้คลุกเคล้ากับอาหารมื้อละ 1 ช้อนโต๊ะนั้น หากปฏิบัติตามอาจช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล แต่น้ำหนักจะไม่ลดลงหากกินไขมันพร้อมกับคาร์โบไฮเดรต และในทางกลับกันการกินแบบนี้จะยิ่งกระตุ้นให้ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น"

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

นอนตื่นสายช่วยลดน้ำหนัก (ซะงั้น)

สถาบันสุขภาพจิตสหรัฐฯ ออกมาแนะนำว่า หากอยากลดน้ำหนักแบบสบายๆ ให้ นอนตื่นสายขึ้นอีกวันละ 1-2 ชม. พร้อมกับยังเตือนว่า การอดนอนจะยิ่งทำให้อ้วนขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญของสถาบันอธิบายเป็นเชิงว่า เหตุที่นอนนานขึ้นจะทำให้น้ำหนักลดได้ เนื่องจากสารเลพติน สารเคมีที่ร่างกายปล่อยออกมาตอนหลับ เป็นตัวควบคุมไขมันในตัวอยู่ โดยจะคอยส่งสัญญาณเมื่อเราอิ่มให้รู้
นักวิจัยได้ศึกษาด้วยการคอยติดตามนิสัยการนอนของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ใหญ่ วัยระหว่าง 27-40 ปี จำนวนเกือบ 500 ราย มาเป็นเวลานาน 13 ปีกว่า ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว พวกผู้หญิงนอน เฉลี่ยแล้วน้อยลง จาก 7.7 ชม. เป็น 7.3 ชม. ในขณะ ที่ฝ่ายชาย จาก 7.1 ชม. เหลือแค่ 6.9 ชม. และทั้งหมดพากันมีน้ำหนักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นคนละ 5 ปอนด์
ในเวลาเดียวกัน ดร.สัญชัย ปาเตล ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการนอน โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด ให้ความเห็นว่า มีสารเคมีและฮอร์โมนหลายชนิด ทำหน้าที่คอยควบคุมความหิว และการเพิ่มของน้ำหนักตัวอยู่ “หากเรานอนนานขึ้นสักชั่วโมงหรือสองชั่วโมง จะไปกระทบสิ่งเหล่านี้ได้อย่างมาก” อย่างเช่น เคยพบในการศึกษาที่แล้วมาว่า อาสาสมัครที่ถูกทำให้อดนอน จะมีระดับของเลพตินลดต่ำลงอย่างชัดเจน “การทำให้มันมีระดับต่ำลง อาจจะทำให้ความหิวเพิ่มขึ้น”.

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

กินจุบกินจิบระหว่างมื้อ...ก็สวยได้

เคยสังเกตตัวเองหรือคนใกล้ตัวบ้างหรือไม่ว่าสมัยตอนเป็นสาวแรกรุ่นนั้น มีหุ่นบางผอมเพรียวจนหนุ่มๆ ต้องเหลียวหลัง แต่พอก้าวสู่วัยทำงาน สัดส่วนที่เคยเพรียวบางก็เริ่มอวบอั๋นขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุงาน
จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคไทยที่จัดทำเมื่อต้นปี 2551 พบว่า สาวส่วนใหญ่โทษอายุที่เพิ่มขึ้นทำให้ความสามารถในการเผาผลาญพลังงานลดลง บางคนบอกว่างานยุ่งมากจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย ทั้งหมดนี้มีความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น
สาเหตุหลักๆ ที่เป็นปัจจัยทำให้สาวๆ มีน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นนั้น อ.กฤษฎี โพธิทัต ที่ปรึกษาด้านโภชนาการ ระบุว่า สาวจำนวนมากไม่ยอมกินอาหารเช้า จึงไปหิวจนตาลายเอาเมื่อสาย และมักจะคว้าขนมหรือของขบเคี้ยวกรุบกรอบทั้งหลายมาใส่ปาก พอตกบ่ายก็เริ่มง่วงและหิวอีกรอบ ก็ต้องพึ่งขนมช่วยให้ตาสว่างกันอีกยก แต่ใช่ว่าอาหารว่างที่รับประทานระหว่างมื้อจะทำให้อ้วนขึ้นได้เสมอไป
อ.กฤษฎีแนะนำว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดว่าการรับประทานอาหารระหว่างมื้อมีแต่โทษ และทำให้อ้วน แต่ที่จริงแล้วอาจตรงกันข้ามได้
“คนที่กินอาหารวันละหลายมื้อมีโอกาสอ้วนน้อยกว่าคนที่กินน้อยมื้อกว่าครึ่ง หลายคนอาจจะคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่การวิจัยพบว่าผู้ที่รับประทานอาหารวันละ 4 มื้อเล็กๆ ขึ้นไป คือ อาหาร 3 มื้อ และอาหารว่าง 1 มื้อ มีโอกาสลดความอ้วนได้ถึง 45% ทั้งนี้ เพราะการรับประทานอาหารระหว่างมื้อที่มีคุณภาพ จะช่วยทำให้เราไม่หิวมากเกินไป จึงสามารถควบคุมปริมาณการรับประทานอาหารในมื้อถัดไปได้ดีขึ้น”
การจะป้องกันไม่ให้เรารับประทานอาหารเกินความจำเป็นหรือเกินกว่าที่ร่างกายต้องการนั้น อ. กฤษฎี แนะนำว่า ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด และเคี้ยวนานๆ มีนักวิชาการหลายคนแนะนำว่าให้เคี้ยวคำละอย่างน้อย 15 ครั้งก่อนที่จะกลืน เพราะทำให้ใช้เวลานานขึ้นในการรับประทานอาหารแต่ละคำ และในแต่ละมื้อก็จะทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง ที่สำคัญคือ อย่ารับประทานจนอิ่ม แค่รู้สึกว่าไม่หิวแล้วก็ให้พอ แค่นี้ก็ได้อาหารเพียงพอ และได้ความสุขจากการเคี้ยวไปด้วยในตัว
ถ้าใครคิดว่าวิธีเหล่านี้ยากเกินไป อาจจะลองเปลี่ยนมาเลือกของว่างที่เป็นซุป เช่น ซุปครีมพร้อมขนมปังกรอบ 1 ถ้วยแทน เพราะสามารถเตรียมได้ง่าย โดยเฉพาะสาวๆ ที่ไม่ได้รับประทานอาหารเช้า ถ้าให้ความสำคัญเพิ่มเติมกับอาหารระหว่างมื้อ โดยเฉพาะ ในช่วงเช้า ก็คงจะช่วยทดแทนได้ไม่มากก็น้อย อย่างน้อยที่สุด การรับประทานซุปสักถ้วยตอน 10 โมงที่ใครๆ เลือกดื่มกาแฟกัน ก็จะทำให้ท้องไม่ว่างนานเกินไป แถมได้รับสารอาหารด้วยค่า

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

สูตรเบาๆ.. เผาผลาญน้ำหนักดีแท้

ค่อยๆลดอย่างใจเย็นไม่ลำเค็ญภายหลัง
ขอเพียงคุณอย่าเพิ่งท้อแท้เพราะถ้าหากคุณรู้เทคนิคที่จะลดน้ำหนักอย่างถูกต้อง รวมถึงมีความอดทนที่จะลดน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไป คุณจะไม่รู้สึกทุกข์ทรมาณกับการลดน้ำหนัก และสามารถจะลดส่วนสัดที่เกินตัวได้อย่างปลอดภัย หากจำเป็นต้องพึงยาลดน้ำหนักก็ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้าย
8 คำแนะนำดีๆ เพื่อการลดน้ำหนัก
จุดเริ่มต้นของการลดน้ำหนักต้องเริ่มต้นจากความตั้งใจจริงที่จะลดน้ำหนักให้ได้ แต่ต้องไม่ใจร้อนและไม่คาดหวังสูงเกินไป ยิ่งน้ำหนักตั้งต้นของคุณมากยิ่งต้องใช้เวลานาน การที่น้ำหนักเพิ่มขึ้น 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ นั่นหมายถึงร่างกายจะได้รับพลังงานเข้าไปมากกว่าที่ต้องการ 500 กิโลแคลอรีต่อวัน ในทางตรงกันข้ามถ้าคุณสามารถลดการรับประทานอาหารที่ให้พลังงานลงจากเดิมที่เคยรับประทานได้ 500 กิโลแคลอรี่ต่อวัน น้ำหนักตัวของคุณก็จะลดลง 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์
1. การลดน้ำหนักในระยะแรกๆ ส่วนใหญ่น้ำหนักจะลดลงได้รวดเร็ว เนื่องจากร่างกายสูญเสียน้ำ แต่หลังจากนั้นน้ำหนักจะคงที่และเริ่มลดได้ช้าลง ซึ่งไม่ควรท้อใจ
2. ไม่ควรงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง โดยเฉพาะมื้อเช้า เพราะจะยิ่งทำให้หิวมากตลอดทั้งวัน
3. ทานมื้อเย็นก่อนนอน 4-6 ชั่วโมง
4. ระหว่างการลดน้ำหนักต้องไม่ทานจุบจิบ ไม่ดื่มน้ำอัดลม น้ำหวานและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
5. ทานอาหารที่มีกากใยสูงมากๆ เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืช ผัก ผลไม้ต่างๆ
6. ปรุงอาหารด้วยวิธีการต้ม นึ่ง แทนที่จะผัดหรือทอด เพื่อลดไขมัน
7. หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ติดมัน
8. ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น เดินจ๊อกกิ้ง ถีบจักรยาน หรือว่ายน้ำ ครั้งละ 30 นาที หากไม่สามารถหาเวลาออกกำลังกายได้ทุกวัน อย่างน้อย สัปดาห์ละ 3 ครั้งก็เพียงพอที่จะช่วยกระตุ้นให้ระบบเผาผลาญสารอาหารในร่างกายทำงานดีขึ้น เท่านี้น้ำหนักก็จะลดลงอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องพึ่งยา
กำจัดส่วนเกิน แบบแคลอรี่ต่อแคลอรี่
ถ้าจะอธิบายให้เห็นถึงวิธีรับประทานอาหารเพื่อการลดน้ำหนักอย่างเป็นรูปธรรม อาจจำเป็นต้องอาศัยการคิดคำนวนปริมาณแคลอรี่ในแต่ละมื้อ แต่ละวันที่คุณได้รับจากอาหารที่รับประทานเข้าไป ทั้งนี้ความต้องการแคลอรี่หรือพลังงานขั้นต่ำสุด ในการดำรงชีวิตปกติของคนเราจะอยู่ที่ 25 แคลอรี่ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
ถ้าน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม วันหนึ่งควรจะได้รับพลังงานขั้นต่ำสุดจากอาหารอย่างน้อยๆ ก็ 50x25 = 1,250 แคลอรี่
ฉะนั้นหากวันนี้คุณยังรับประทานอาหารที่ให้พลังงานเกินกว่านี้อยู่ ก็ควรลดให้อยู่ภายในเกณฑ์นี้ให้ได้ ถ้าหากอยู่ภายในเกณฑ์นี้แล้ว แต่ยังรู้สึกว่าอ้วนอยู่ คุณอาจจะค่อยๆลดปริมาณอาหารลง เช่น จาก 1,250 แคลอรี่เป็น 1,100 เป็น 1,000 และเป็น 900 แคลอรี่ อย่างไรก็ดีสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตั้งต้นอยู่ที่ 50 กิโลกรัม ไม่ควรจะลดพลังงานที่ได้ให้ต่ำไปกว่านี้ เพราะการลดอาหารที่เข้มงวดเกินไป อาจทำให้ไม่มีความสุขกับการลดน้ำหนัก ซ้ำร้ายอาจเป็นโรคขาดสารอาหาร

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

"กล้วย "สูตรลดน้ำหนักสุดฮิต ของหนุ่มสาวแดนซากุระ

ใครจะเชื่อ การรับประทานกล้วยหอม กลายเป็น สูตรลดน้ำหนักสุดฮิต ที่สาวหนุ่มแดนซากุระแห่ทำตาม จนแทบแย่งชิงกันเพื่อให้ได้กล้วยหอมมาครอบครอง หวังลดน้ำหนักได้เพรียวกันถ้วนหน้า
สูตรลดน้ำหนักที่ตกเป็นข่าวโจษขานเมื่อไม่นานมานี้ แนะนำให้กินกล้วยหอม 1-2 ผล พร้อมกับน้ำในอุณหภูมิห้องในมื้อเช้า ส่วนมื้อกลางวันและเย็นสามารถกินได้ตามปกติ อาจจะเพิ่มอาหารว่างตอนบ่ายสาม สิ่งสำคัญคือ งดของหวานและเข้านอนก่อนเที่ยงคืน
“ในทางโภชนาการแล้ว สูตรดังกล่าวสามารถลดน้ำหนักได้จริง หากเป็นคนที่ไม่ทานอาหารเช้าเลย หรือทานอาหารเช้าที่หนักเกินไป” แววตา เอกชาวนา นักโภชนาการ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อธิบายความเป็นไปได้
กล้วยหอม 1 ลูก น้ำหนักประมาณ 100 กรัม (ไม่รวมเปลือก) จะให้พลังงาน 120 กิโลแคลอรี ในกรณีที่กินข้าวเช้าตามปกติ เช่น ข้าวมันไก่ 1 จาน ที่ให้พลังงาน 500 กิโลแคลอรี หากเปลี่ยนมากินกล้วยหอมเป็นมื้อเช้า ก็จะได้แคลอรีน้อยลง ในขณะเดียวกัน หากว่ากันตามสูตรก็จะให้กินพร้อมกับน้ำ ทำให้อิ่มเร็วขึ้น
สำหรับคนที่ไม่เคยกินข้าวเช้า นักโภชนาการบอกว่า สูตรนี้ช่วยได้อย่างมาก เนื่องจากจะสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ให้ได้รับอาหารเช้า ซึ่งเป็นมื้อที่จำเป็นต่อร่างกายและสมอง
“ในสังคมปัจจุบัน คนเร่งรีบจนไม่กินอาหารเช้าหรือดื่มเพียงกาแฟ 1 แก้ว ซึ่งส่งผลต่อระบบการเผาผลาญในร่างกาย กล้วยหอมจะถือเป็นอาหารมื้อเช้า ที่ช่วยให้ระบบการเผาผลาญทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
ในกล้วย นอกจากจะมีคาร์โบไฮเดรต และไฟเบอร์ ยังมีน้ำตาลทั้งกลูโคส, ฟลุกโตส และซูโคส ที่ช่วยเพิ่มพลังกายและสมอง ให้สามารถนำไปใช้ได้เลย ทำให้นักโภชนาการมองว่า สูตรลดน้ำหนักด้วยกล้วยนี้ จะเป็นที่นิยมนานกว่าสูตรอื่น เนื่องจากเป็นสูตรที่ง่าย ราคาไม่แพง แถมยังอร่อย ทำให้คนไม่ฝืนใจกิน ในขณะเดียวกันก็สามารถใช้กับกล้วยประเภทอื่น ได้ไม่ว่าจะเป็นกล้วยน้ำว้า กล้วยไข่
นอกจากรับประทานกล้วยแล้ว ข้อห้ามเกี่ยวกับของหวานและการนอน ก็เป็นปัจจัยเสริมที่ดี น.ส.แววตาชี้ว่า ของหวานเป็นอุปสรรคสำคัญในการลดน้ำหนัก ขณะที่การจัดเวลาของว่างช่วงบ่ายสามโมงก็ถือว่าดี จากเดิมที่คนไทยกินของว่างไม่เป็นเวลา ก็จะช่วยให้นาฬิการ่างกายเรียนรู้ และปรับระบบเผาผลาญในช่วงเวลานั้น ส่วนการนอนก่อนเที่ยงคืน ก็เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบเผาผลาญได้อีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ดี นักโภชนาการแนะนำว่า สูตรนี้เหมาะกับคนที่ไม่รับประทานอาหารเช้า หรือรับประทานอาหารเช้าที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ผู้ที่ไม่ควรลิ้มลองคือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคไต เนื่องจากกล้วยมีน้ำตาลและโปแตสเซียมสูง ในขณะที่ผู้ที่รับประทานอาหารเช้าเพื่อสุขภาพอยู่แล้วก็ไม่จำเป็น อาทิเช่น คอร์นเฟลกกับนม, ข้าวกับแกงจืดตำลึง หรือ ข้าวกับไก่ผัดขิง เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน สูตรลดน้ำหนักนี้ก็ไม่เหมาะกับเด็กวัยเรียน เนื่องจากเด็กวัยนี้ต้องการโปรตีนในช่วงเช้าเพื่อเป็นแหล่งพลังงานระหว่างวัน โดยนักโภชนาการแนะว่า หากต้องการลดน้ำหนัก อาจจะปรับสูตร เช่น กล้วยกับหมูปิ้ง กล้วยกับไข่ต้ม หรือกล้วยกับชีสแบบไขมันต่ำ
นักโภชนาการยังบอกด้วยว่า ไม่เฉพาะแต่กล้วยที่สามารถนำไปใช้เป็นสูตรลดน้ำหนักได้ ผลไม้อื่นก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยดูจากผลไม้ที่ไม่หวานมาก ไม่หนักแป้ง และกินได้ง่าย เช่น แอ๊ปเปิ้ล แคนตาลูป หรือแตงโม เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ก็ควรหลีกเลี่ยงทุเรียน, ขนุน ที่หวานจัดหรือผลไม้ที่เป็นกรดเช่น สับปะรด
“สิ่งสำคัญที่ต้องย้ำเตือนทุกคนคือ กล้วย 1 ใบ ไม่ใช่อาหารมหัศจรรย์ที่จะทำให้คนเราผอม สวย สุขภาพดี เนื่องจากเป็นอาหารที่ไม่ครบ 5 หมู่ แต่กล้วยจะเป็นจุดเริ่มต้น ให้คนหันมารับประทานอาหารเช้าซึ่งเป็นมื้อสำคัญ และเพิ่มสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ในมื้ออื่นของวัน และต้องออกกำลังกายให้สมดุลกับอาหารที่กินเข้าไปในแต่ละวัน เพื่อสร้างเสริมสุขภาพที่ดีต่อไป” น.ส.แววตา นักโภชนาการกล่าวทิ้งท้าย

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com