วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

กินไขมันกันอ้วน !?

แม้การลดความอ้วนด้วยวิธีควบคุมอาหารจะมีมากมาย แต่การกินน้ำมันมะพร้าวเพื่อลดน้ำหนัก คือกินไขมันเพื่อลดไขมัน ซึ่งเป็นวิธีการแบบหนามยอกต้องเอาหนามบ่งนี้ พบว่าจะทำให้น้ำหนักลดลงได้ 4-5 กิโลกรัม ภายใน 1 เดือน
น้ำมันมะพร้าวลดอ้วน
น้ำมันมะพร้าวจัดเป็นน้ำมันพืชชนิดแรกๆ ที่เรารู้จักและนำมาใช้ปรุงอาหารหรือบำรุงความงาม เช่น ทาผิว หมักผม เป็นต้น แต่ภายหลังนิยมบริโภคน้อยลง เพราะมีกรดไขมันอิ่มตัวสูงทำให้อ้วนและเกิดไขมันสะสม ส่วนน้ำมันมะพร้าวที่กินเพื่อลดความอ้วนในปัจจุบันไม่เหมือนกับน้ำมันมะพร้าวแบบเดิมที่สกัดโดยใช้ความร้อน แต่เป็นน้ำมันมะพร้าวที่เรียกว่า Virgin coconut oil ซึ่งผ่านกระบวนการหีบเย็น คือ ใช้วิธีการปั่น บีบน้ำมันออกมาโดยตรง หรือการแยกหมักด้วยแบคทีเรียเพื่อแยกน้ำมัน และด้วยกรรมวิธีที่แตกต่างนี้เองที่ทำให้สรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวสองชนิดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยชนิดใหม่จะช่วยลดความอ้วนและไม่ตกค้างในร่างกาย
น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีองค์ประกอบของกรดไขมันที่มีประโยชน์อยู่มาก โดยเฉพาะกรดไขมันความยาวขนาดกลาง (มีเดียมเชน ไตรกลีเซอไรด์) ซึ่งเมื่อกินเข้าไปจะมีปฏิกิริยาคล้ายน้ำตาล คือ จะถูกส่งผ่านกระแสเลือดโดยตรง จึงเข้าสู่เซลล์และสลายตัวได้เร็ว แตกต่างจากน้ำมันพืชชนิดอื่น นอกจากนี้ยังพบสารไมโตรนิวเตรียนบางตัวที่อยู่ในมะพร้าว เช่น กลุ่มฮอร์โมนพืช ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพและช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง
ทฤษฎีลดน้ำหนัก
การกินน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์เพื่อลดความอ้วนเป็นแนวคิดของแอ็ตกินไดเอ็ต (Atkins Diet) ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในดาราฮอลลีวู้ด เช่น เจนนิเฟอร์ อนิสตัน โดยมีหลักการว่า ต้องลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่กระตุ้นให้ร่างกายหลั่งอินซูลิน ซึ่งส่งผลต่อการสะสมไขมันของร่างกาย หากงดกินแป้งและกินแต่ไขมัน ไขมันจะกดความอยากอาหาร เมื่อกินไปสักระยะเราจึงกินน้อยลง
น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหารได้ดีกว่าไขมันชนิดอื่น ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย กระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ และสร้างความร้อนได้เร็วจึงไม่สะสมในร่างกาย ทฤษฎีแอ็ตกินแนะนำให้กินน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ควบคู่กับอาหารแบบโลว์คาร์บ คืออาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ โดยอาจนำมาผสมกับสมูตตี้ น้ำสลัด หรือซอส วันละ 2-3 ช้อนโต๊ะ
ทั้งนี้ศาสตราจารย์ ดร. วินัย ดะลันห์ หัวหน้าศูนย์วิจัยวิทยานิพิดและไขมัน จุฬาฯ ให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวคิดดังกล่าวว่า "สามารถทำได้จริงและเห็นผลดี แต่ควรอยู่ภายใต้การแนะนำของนักโภชนาการ หากกินติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกิน 2 เดือนขึ้นไป ควรกินแคลเซียมเสริมเนื่องจากการกินอาหารมันๆ จะมีผลต่อการดูดซึมแคลเซียมของร่างกาย"
โฆษณาชวนเชื่อ น้ำมันมะพร้าวลดอ้วน
ในบ้านเรากระแสการกินน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์เพื่อลดความอ้วนเริ่มแพร่หลาย แต่ยังมีความเข้าใจผิดเรื่องวิธีใช้และสรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์อยู่มาก ศาสตราจารย์ ดร. วินัย ดะลันห์ กล่าวว่า “มีการให้ข้อมูลผิดๆ ว่าน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์เป็นแหล่งของกรดไขมันพวกรอลิค (ซี12) สูง ซึ่งถ้าบริโภคในปริมาณมากและต่อเนื่องจะทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังมีการอ้างสรรพคุณเกินจริง เช่น น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีสรรพคุณคล้ายกับสารที่มีอยู่ในน้ำนม ซึ่งจริงๆ แล้วน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์มีกรดไขมันพวกคาพริลิค (Caprylic) ที่สลายพลังงานได้เร็วและมีคุณสมบัติคล้ายคาร์โบไฮเดรต คือจะถูกย่อยสลายในลักษณะคล้ายน้ำตาล แต่ต่างกันตรงที่ไม่ต้องใช้อินซูลีน”
"ส่วนข้อแนะนำการบริโภคที่ให้คลุกเคล้ากับอาหารมื้อละ 1 ช้อนโต๊ะนั้น หากปฏิบัติตามอาจช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล แต่น้ำหนักจะไม่ลดลงหากกินไขมันพร้อมกับคาร์โบไฮเดรต และในทางกลับกันการกินแบบนี้จะยิ่งกระตุ้นให้ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น"

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

นอนตื่นสายช่วยลดน้ำหนัก (ซะงั้น)

สถาบันสุขภาพจิตสหรัฐฯ ออกมาแนะนำว่า หากอยากลดน้ำหนักแบบสบายๆ ให้ นอนตื่นสายขึ้นอีกวันละ 1-2 ชม. พร้อมกับยังเตือนว่า การอดนอนจะยิ่งทำให้อ้วนขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญของสถาบันอธิบายเป็นเชิงว่า เหตุที่นอนนานขึ้นจะทำให้น้ำหนักลดได้ เนื่องจากสารเลพติน สารเคมีที่ร่างกายปล่อยออกมาตอนหลับ เป็นตัวควบคุมไขมันในตัวอยู่ โดยจะคอยส่งสัญญาณเมื่อเราอิ่มให้รู้
นักวิจัยได้ศึกษาด้วยการคอยติดตามนิสัยการนอนของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ใหญ่ วัยระหว่าง 27-40 ปี จำนวนเกือบ 500 ราย มาเป็นเวลานาน 13 ปีกว่า ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว พวกผู้หญิงนอน เฉลี่ยแล้วน้อยลง จาก 7.7 ชม. เป็น 7.3 ชม. ในขณะ ที่ฝ่ายชาย จาก 7.1 ชม. เหลือแค่ 6.9 ชม. และทั้งหมดพากันมีน้ำหนักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นคนละ 5 ปอนด์
ในเวลาเดียวกัน ดร.สัญชัย ปาเตล ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการนอน โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด ให้ความเห็นว่า มีสารเคมีและฮอร์โมนหลายชนิด ทำหน้าที่คอยควบคุมความหิว และการเพิ่มของน้ำหนักตัวอยู่ “หากเรานอนนานขึ้นสักชั่วโมงหรือสองชั่วโมง จะไปกระทบสิ่งเหล่านี้ได้อย่างมาก” อย่างเช่น เคยพบในการศึกษาที่แล้วมาว่า อาสาสมัครที่ถูกทำให้อดนอน จะมีระดับของเลพตินลดต่ำลงอย่างชัดเจน “การทำให้มันมีระดับต่ำลง อาจจะทำให้ความหิวเพิ่มขึ้น”.

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

กินจุบกินจิบระหว่างมื้อ...ก็สวยได้

เคยสังเกตตัวเองหรือคนใกล้ตัวบ้างหรือไม่ว่าสมัยตอนเป็นสาวแรกรุ่นนั้น มีหุ่นบางผอมเพรียวจนหนุ่มๆ ต้องเหลียวหลัง แต่พอก้าวสู่วัยทำงาน สัดส่วนที่เคยเพรียวบางก็เริ่มอวบอั๋นขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุงาน
จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคไทยที่จัดทำเมื่อต้นปี 2551 พบว่า สาวส่วนใหญ่โทษอายุที่เพิ่มขึ้นทำให้ความสามารถในการเผาผลาญพลังงานลดลง บางคนบอกว่างานยุ่งมากจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย ทั้งหมดนี้มีความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น
สาเหตุหลักๆ ที่เป็นปัจจัยทำให้สาวๆ มีน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นนั้น อ.กฤษฎี โพธิทัต ที่ปรึกษาด้านโภชนาการ ระบุว่า สาวจำนวนมากไม่ยอมกินอาหารเช้า จึงไปหิวจนตาลายเอาเมื่อสาย และมักจะคว้าขนมหรือของขบเคี้ยวกรุบกรอบทั้งหลายมาใส่ปาก พอตกบ่ายก็เริ่มง่วงและหิวอีกรอบ ก็ต้องพึ่งขนมช่วยให้ตาสว่างกันอีกยก แต่ใช่ว่าอาหารว่างที่รับประทานระหว่างมื้อจะทำให้อ้วนขึ้นได้เสมอไป
อ.กฤษฎีแนะนำว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดว่าการรับประทานอาหารระหว่างมื้อมีแต่โทษ และทำให้อ้วน แต่ที่จริงแล้วอาจตรงกันข้ามได้
“คนที่กินอาหารวันละหลายมื้อมีโอกาสอ้วนน้อยกว่าคนที่กินน้อยมื้อกว่าครึ่ง หลายคนอาจจะคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่การวิจัยพบว่าผู้ที่รับประทานอาหารวันละ 4 มื้อเล็กๆ ขึ้นไป คือ อาหาร 3 มื้อ และอาหารว่าง 1 มื้อ มีโอกาสลดความอ้วนได้ถึง 45% ทั้งนี้ เพราะการรับประทานอาหารระหว่างมื้อที่มีคุณภาพ จะช่วยทำให้เราไม่หิวมากเกินไป จึงสามารถควบคุมปริมาณการรับประทานอาหารในมื้อถัดไปได้ดีขึ้น”
การจะป้องกันไม่ให้เรารับประทานอาหารเกินความจำเป็นหรือเกินกว่าที่ร่างกายต้องการนั้น อ. กฤษฎี แนะนำว่า ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด และเคี้ยวนานๆ มีนักวิชาการหลายคนแนะนำว่าให้เคี้ยวคำละอย่างน้อย 15 ครั้งก่อนที่จะกลืน เพราะทำให้ใช้เวลานานขึ้นในการรับประทานอาหารแต่ละคำ และในแต่ละมื้อก็จะทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง ที่สำคัญคือ อย่ารับประทานจนอิ่ม แค่รู้สึกว่าไม่หิวแล้วก็ให้พอ แค่นี้ก็ได้อาหารเพียงพอ และได้ความสุขจากการเคี้ยวไปด้วยในตัว
ถ้าใครคิดว่าวิธีเหล่านี้ยากเกินไป อาจจะลองเปลี่ยนมาเลือกของว่างที่เป็นซุป เช่น ซุปครีมพร้อมขนมปังกรอบ 1 ถ้วยแทน เพราะสามารถเตรียมได้ง่าย โดยเฉพาะสาวๆ ที่ไม่ได้รับประทานอาหารเช้า ถ้าให้ความสำคัญเพิ่มเติมกับอาหารระหว่างมื้อ โดยเฉพาะ ในช่วงเช้า ก็คงจะช่วยทดแทนได้ไม่มากก็น้อย อย่างน้อยที่สุด การรับประทานซุปสักถ้วยตอน 10 โมงที่ใครๆ เลือกดื่มกาแฟกัน ก็จะทำให้ท้องไม่ว่างนานเกินไป แถมได้รับสารอาหารด้วยค่า

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

สูตรเบาๆ.. เผาผลาญน้ำหนักดีแท้

ค่อยๆลดอย่างใจเย็นไม่ลำเค็ญภายหลัง
ขอเพียงคุณอย่าเพิ่งท้อแท้เพราะถ้าหากคุณรู้เทคนิคที่จะลดน้ำหนักอย่างถูกต้อง รวมถึงมีความอดทนที่จะลดน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไป คุณจะไม่รู้สึกทุกข์ทรมาณกับการลดน้ำหนัก และสามารถจะลดส่วนสัดที่เกินตัวได้อย่างปลอดภัย หากจำเป็นต้องพึงยาลดน้ำหนักก็ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้าย
8 คำแนะนำดีๆ เพื่อการลดน้ำหนัก
จุดเริ่มต้นของการลดน้ำหนักต้องเริ่มต้นจากความตั้งใจจริงที่จะลดน้ำหนักให้ได้ แต่ต้องไม่ใจร้อนและไม่คาดหวังสูงเกินไป ยิ่งน้ำหนักตั้งต้นของคุณมากยิ่งต้องใช้เวลานาน การที่น้ำหนักเพิ่มขึ้น 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ นั่นหมายถึงร่างกายจะได้รับพลังงานเข้าไปมากกว่าที่ต้องการ 500 กิโลแคลอรีต่อวัน ในทางตรงกันข้ามถ้าคุณสามารถลดการรับประทานอาหารที่ให้พลังงานลงจากเดิมที่เคยรับประทานได้ 500 กิโลแคลอรี่ต่อวัน น้ำหนักตัวของคุณก็จะลดลง 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์
1. การลดน้ำหนักในระยะแรกๆ ส่วนใหญ่น้ำหนักจะลดลงได้รวดเร็ว เนื่องจากร่างกายสูญเสียน้ำ แต่หลังจากนั้นน้ำหนักจะคงที่และเริ่มลดได้ช้าลง ซึ่งไม่ควรท้อใจ
2. ไม่ควรงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง โดยเฉพาะมื้อเช้า เพราะจะยิ่งทำให้หิวมากตลอดทั้งวัน
3. ทานมื้อเย็นก่อนนอน 4-6 ชั่วโมง
4. ระหว่างการลดน้ำหนักต้องไม่ทานจุบจิบ ไม่ดื่มน้ำอัดลม น้ำหวานและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
5. ทานอาหารที่มีกากใยสูงมากๆ เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืช ผัก ผลไม้ต่างๆ
6. ปรุงอาหารด้วยวิธีการต้ม นึ่ง แทนที่จะผัดหรือทอด เพื่อลดไขมัน
7. หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ติดมัน
8. ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น เดินจ๊อกกิ้ง ถีบจักรยาน หรือว่ายน้ำ ครั้งละ 30 นาที หากไม่สามารถหาเวลาออกกำลังกายได้ทุกวัน อย่างน้อย สัปดาห์ละ 3 ครั้งก็เพียงพอที่จะช่วยกระตุ้นให้ระบบเผาผลาญสารอาหารในร่างกายทำงานดีขึ้น เท่านี้น้ำหนักก็จะลดลงอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องพึ่งยา
กำจัดส่วนเกิน แบบแคลอรี่ต่อแคลอรี่
ถ้าจะอธิบายให้เห็นถึงวิธีรับประทานอาหารเพื่อการลดน้ำหนักอย่างเป็นรูปธรรม อาจจำเป็นต้องอาศัยการคิดคำนวนปริมาณแคลอรี่ในแต่ละมื้อ แต่ละวันที่คุณได้รับจากอาหารที่รับประทานเข้าไป ทั้งนี้ความต้องการแคลอรี่หรือพลังงานขั้นต่ำสุด ในการดำรงชีวิตปกติของคนเราจะอยู่ที่ 25 แคลอรี่ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
ถ้าน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม วันหนึ่งควรจะได้รับพลังงานขั้นต่ำสุดจากอาหารอย่างน้อยๆ ก็ 50x25 = 1,250 แคลอรี่
ฉะนั้นหากวันนี้คุณยังรับประทานอาหารที่ให้พลังงานเกินกว่านี้อยู่ ก็ควรลดให้อยู่ภายในเกณฑ์นี้ให้ได้ ถ้าหากอยู่ภายในเกณฑ์นี้แล้ว แต่ยังรู้สึกว่าอ้วนอยู่ คุณอาจจะค่อยๆลดปริมาณอาหารลง เช่น จาก 1,250 แคลอรี่เป็น 1,100 เป็น 1,000 และเป็น 900 แคลอรี่ อย่างไรก็ดีสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตั้งต้นอยู่ที่ 50 กิโลกรัม ไม่ควรจะลดพลังงานที่ได้ให้ต่ำไปกว่านี้ เพราะการลดอาหารที่เข้มงวดเกินไป อาจทำให้ไม่มีความสุขกับการลดน้ำหนัก ซ้ำร้ายอาจเป็นโรคขาดสารอาหาร

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

"กล้วย "สูตรลดน้ำหนักสุดฮิต ของหนุ่มสาวแดนซากุระ

ใครจะเชื่อ การรับประทานกล้วยหอม กลายเป็น สูตรลดน้ำหนักสุดฮิต ที่สาวหนุ่มแดนซากุระแห่ทำตาม จนแทบแย่งชิงกันเพื่อให้ได้กล้วยหอมมาครอบครอง หวังลดน้ำหนักได้เพรียวกันถ้วนหน้า
สูตรลดน้ำหนักที่ตกเป็นข่าวโจษขานเมื่อไม่นานมานี้ แนะนำให้กินกล้วยหอม 1-2 ผล พร้อมกับน้ำในอุณหภูมิห้องในมื้อเช้า ส่วนมื้อกลางวันและเย็นสามารถกินได้ตามปกติ อาจจะเพิ่มอาหารว่างตอนบ่ายสาม สิ่งสำคัญคือ งดของหวานและเข้านอนก่อนเที่ยงคืน
“ในทางโภชนาการแล้ว สูตรดังกล่าวสามารถลดน้ำหนักได้จริง หากเป็นคนที่ไม่ทานอาหารเช้าเลย หรือทานอาหารเช้าที่หนักเกินไป” แววตา เอกชาวนา นักโภชนาการ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อธิบายความเป็นไปได้
กล้วยหอม 1 ลูก น้ำหนักประมาณ 100 กรัม (ไม่รวมเปลือก) จะให้พลังงาน 120 กิโลแคลอรี ในกรณีที่กินข้าวเช้าตามปกติ เช่น ข้าวมันไก่ 1 จาน ที่ให้พลังงาน 500 กิโลแคลอรี หากเปลี่ยนมากินกล้วยหอมเป็นมื้อเช้า ก็จะได้แคลอรีน้อยลง ในขณะเดียวกัน หากว่ากันตามสูตรก็จะให้กินพร้อมกับน้ำ ทำให้อิ่มเร็วขึ้น
สำหรับคนที่ไม่เคยกินข้าวเช้า นักโภชนาการบอกว่า สูตรนี้ช่วยได้อย่างมาก เนื่องจากจะสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ให้ได้รับอาหารเช้า ซึ่งเป็นมื้อที่จำเป็นต่อร่างกายและสมอง
“ในสังคมปัจจุบัน คนเร่งรีบจนไม่กินอาหารเช้าหรือดื่มเพียงกาแฟ 1 แก้ว ซึ่งส่งผลต่อระบบการเผาผลาญในร่างกาย กล้วยหอมจะถือเป็นอาหารมื้อเช้า ที่ช่วยให้ระบบการเผาผลาญทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
ในกล้วย นอกจากจะมีคาร์โบไฮเดรต และไฟเบอร์ ยังมีน้ำตาลทั้งกลูโคส, ฟลุกโตส และซูโคส ที่ช่วยเพิ่มพลังกายและสมอง ให้สามารถนำไปใช้ได้เลย ทำให้นักโภชนาการมองว่า สูตรลดน้ำหนักด้วยกล้วยนี้ จะเป็นที่นิยมนานกว่าสูตรอื่น เนื่องจากเป็นสูตรที่ง่าย ราคาไม่แพง แถมยังอร่อย ทำให้คนไม่ฝืนใจกิน ในขณะเดียวกันก็สามารถใช้กับกล้วยประเภทอื่น ได้ไม่ว่าจะเป็นกล้วยน้ำว้า กล้วยไข่
นอกจากรับประทานกล้วยแล้ว ข้อห้ามเกี่ยวกับของหวานและการนอน ก็เป็นปัจจัยเสริมที่ดี น.ส.แววตาชี้ว่า ของหวานเป็นอุปสรรคสำคัญในการลดน้ำหนัก ขณะที่การจัดเวลาของว่างช่วงบ่ายสามโมงก็ถือว่าดี จากเดิมที่คนไทยกินของว่างไม่เป็นเวลา ก็จะช่วยให้นาฬิการ่างกายเรียนรู้ และปรับระบบเผาผลาญในช่วงเวลานั้น ส่วนการนอนก่อนเที่ยงคืน ก็เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบเผาผลาญได้อีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ดี นักโภชนาการแนะนำว่า สูตรนี้เหมาะกับคนที่ไม่รับประทานอาหารเช้า หรือรับประทานอาหารเช้าที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ผู้ที่ไม่ควรลิ้มลองคือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคไต เนื่องจากกล้วยมีน้ำตาลและโปแตสเซียมสูง ในขณะที่ผู้ที่รับประทานอาหารเช้าเพื่อสุขภาพอยู่แล้วก็ไม่จำเป็น อาทิเช่น คอร์นเฟลกกับนม, ข้าวกับแกงจืดตำลึง หรือ ข้าวกับไก่ผัดขิง เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน สูตรลดน้ำหนักนี้ก็ไม่เหมาะกับเด็กวัยเรียน เนื่องจากเด็กวัยนี้ต้องการโปรตีนในช่วงเช้าเพื่อเป็นแหล่งพลังงานระหว่างวัน โดยนักโภชนาการแนะว่า หากต้องการลดน้ำหนัก อาจจะปรับสูตร เช่น กล้วยกับหมูปิ้ง กล้วยกับไข่ต้ม หรือกล้วยกับชีสแบบไขมันต่ำ
นักโภชนาการยังบอกด้วยว่า ไม่เฉพาะแต่กล้วยที่สามารถนำไปใช้เป็นสูตรลดน้ำหนักได้ ผลไม้อื่นก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยดูจากผลไม้ที่ไม่หวานมาก ไม่หนักแป้ง และกินได้ง่าย เช่น แอ๊ปเปิ้ล แคนตาลูป หรือแตงโม เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ก็ควรหลีกเลี่ยงทุเรียน, ขนุน ที่หวานจัดหรือผลไม้ที่เป็นกรดเช่น สับปะรด
“สิ่งสำคัญที่ต้องย้ำเตือนทุกคนคือ กล้วย 1 ใบ ไม่ใช่อาหารมหัศจรรย์ที่จะทำให้คนเราผอม สวย สุขภาพดี เนื่องจากเป็นอาหารที่ไม่ครบ 5 หมู่ แต่กล้วยจะเป็นจุดเริ่มต้น ให้คนหันมารับประทานอาหารเช้าซึ่งเป็นมื้อสำคัญ และเพิ่มสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ในมื้ออื่นของวัน และต้องออกกำลังกายให้สมดุลกับอาหารที่กินเข้าไปในแต่ละวัน เพื่อสร้างเสริมสุขภาพที่ดีต่อไป” น.ส.แววตา นักโภชนาการกล่าวทิ้งท้าย

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

นั่งกรรมฐานเพื่อการลดน้ำหนัก

ขณะนี้ฝรั่งหันมาสนใจกรรรมฐานกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้กรรมฐานเพื่อการลดน้ำหนัก หลายสิบปีมาแล้วในยุคซิกตีส์ตอนที่วงดนตรี เดอะบีทเทิลส์ กำลังดังทะลุฟ้า วิชากรรมฐานดังขึ้นมา ทำให้เป็นที่รู้จักของฝรั่ง เนื่องจากนักดนตรีสี่เต่าทอง หันไปสนใจวิชากรรมฐาน ไปเรียนวิชากับอาจารย์มหาฤาษีที่อินเดีย กรรมฐาน หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า meditation จึงดังระเบิด พระอาจารย์มหาฤาษีองค์นั้น ก็พลอยดังขึ้นมาเหมือนกัน ได้รับเชิญไปทัวร์ ไปสอนวิชาไปออกทีวีในประเทศตะวันตกมากมาย ตอนท่านมหาฤาษีสอนทฤษฎีกรรมฐานที่เรียกว่า transcendental meditation หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า T.M.
ที่จริงกรรมฐานเป็นวิชาที่มานานหลายพันปีก่อนพุทธกาลเสียอีก ในพระไตรปิฎกมีกล่าวถึงเรื่องนี้ใน มหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้าเคยไปเรียนวิชานี้กับพระอาจารย์ที่เก่งที่สุดในสมัยนั้นหลายสำนัก จนรู้แจ้งทำได้หมดสิ้นแล้วยังพัฒนาไปไกลกว่าที่มีอยู่ กรรมฐานแบ่งใหญ่ๆ เป็นสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน สมถกรรมฐานเป็นการเข้าสมาธิที่พระพุทธเจ้าคิดขึ้นเอง เป็นการเพ่งพิจารณาทางด้านธรรมะ เช่น พิจารณาขันธ์ห้า ฯลฯ
กรรมฐานที่ฝรั่งนำเอาไปปฏิบัติกันเป็นแค่สมถกรรมฐาน อย่างเช่น T.M. ของมหาฤาษีก็เป็นสมถกรรมฐานเหมือนกัน แต่ใช้ในการท่องบ่นมนรากำกับจิตใจ ทุกวันนี้วิชากรรมฐานเข้าถึงพวกฝรั่งกันมากขึ้น มีการนำเอาวิชานี้ไปใช้ผ่อนคลายรักษาความเครียดในชีวิตประจำวัน หมอและโรงพยาบาลหลายแห่งในสหรัฐฯ แนะนำให้คนไข้เอาไปทำกัน มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าการนั่งสมาธิสามารถลดความดันโลหิต ทำให้หลอดเลือดมีสุขภาพดีขึ้น จิตใจดีขึ้นเพราะความสงบระงับคลื่อนสมองของคนนั่งสมาธิที่เข้าฌานลึก มีลักษณะนิ่งกว่าคลื่นสมองของคนนอนหลับเสียอีก ขณะนี้นักควบคุมน้ำหนักตัวอ้างว่ามันมีผลดีต่อการลดน้ำหนักด้วย
เขาสอนเทคนิคการควบคุมอาหารโดยให้เริ่มต้นแบบในบ้านเราคือ กำหนดลมหายใจเข้าออกยุบหนอพองหนอ ก่อนจะกินอาหารควรหายใจเข้าออกอย่างมีสติยุบหนอพองหนอสัก 5 ครั้ง เขาว่ามันจะทำให้เหมือนมีการติดเบรค มีสติและทำให้รู้รสแซ่บซาบซึ้งมากกว่าการรีบกินรีบกลืน
ที่แมสซาซูเล็ตเมติคัลเซ็นเตอร์ มีการสอนให้คนไข้ลดความเครียดและความอ้วนโดยเทคนิคที่เรียกว่า Raisin Meditation หรือ ลูกเกดกรรมฐาน โดยเขาแจกลูกเกดให้นักเรียนคนละ 2 เม็ด ในดการกินแต่ละเม็ดให้ใช้เวลาอย่างน้อย 5 นาที ก่อนจะกินแต่ละเม็ดให้นักเรียนครุ่นคิดพิจารณาถึงกลิ่น สีสัน สัมผัส แล้วนึกถึงพื้นเพที่มาของลูกเกดตั้งแต่ที่มันยังอยู่บนต้นองุ่น ชาวไร่ให้การดูแลฟูมฟักรักษา แล้วชาวไร่ก็เก็บมันมาคัดเลือก ตากให้แห้ง แล้วเอามาขายหรือส่งออก หลังจากการพิจารณาอย่างนั้นแล้วก็เอามันเข้าปาก ตอนเข้าปากก็พยายามใช้ลิ้นสัมผัสรับรสแล้วเคี้ยวช้าๆ ขณะที่เคี้ยวก็พยายามจดจ่อสมาธิให้ร้สึกตัวถุกอิริยาบถ ให้รู้ว่ากำลังเคี้ยวลิ้นกำลังเคลื่อนไหวอย่างไร และพยายามทำให้น้ำและเนื้อลูกเกดให้สัมผัสกับต่อมรับรสบนลิ้นให้ทั่วถึง ทำให้นกินได้รับทั้งรูป รส กลิ่น สัมผัส และ.เสียง (เคี้ยว) เมื่อเสร็จกระบวนการดังกล่าวแล้วก็ทำการกลืน ตอนที่กลืนก็อาจจะพูดกับตัวเองอย่างสุภาพอ่อนหวานว่า "ตอนนี้เรามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเท่ากับหนึ่งลูกเกดแล้ว" เมื่อกินลูกเกดเม็ดแรกจบตามกระบวนการกรรมฐานแล้วก็เริ่มกินเม็ดที่สองแบบเดียวกัน การทำอย่างนี้จะทำให้กินอาหารช้าลงมาก ทำให้ความหิวลดน้อยลงหรือหายไปก่อนที่จะกินอาหารเข้าไปมากเกินไป ท่านอาจจะเอาวิธีนี้ไปลองทำขณะกินข้าวยำดู ข้าวยำมีส่วนผสมหลายอย่าง ทำให้มีเรื่องคิดพิจารณามากมาย ตั้งแต่มะพร้าว ถั่วงอก ถั่วฝักยาว ข้าวสวย จนถึงรุกขเทวดา
ที่จริงท่านสอนไว้ว่ากรรมฐานเป็นสิ่งที่ทำได้ทุกขณะจิต ความคิดจิตของเราคิดถึงแต่สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ก็เท่ากับเข้าสมาธิกรรมฐานอยู่แล้ว การทำกรรมฐานไม่จำเป็นต้องไปทำที่วัดหรือสำนักฤาษีใดๆ คุณอาจจะลองทำที่ทำงานในเวลาที่ว่างก็ได้ โดยการนั่งตัวตรง หลับตา ปล่อยวางกล้ามเนื้อให้คลายตัว เพ่งสมาธิไปที่การหายใจเข้าออก พลางบอกตัวเองว่ายุบหนอพองหนอทุกครั้งมที่หายใจออกและหายใจเข้า ส่วนมากเวลาที่ทำในตอนแรกๆ จิตใจมักจะวอกแวกหลุดจากสมาธิ เนื่องจากมีวิวรณ์ห้าอย่างคือ ความใคร่ในกาม ควาามอาฆาตพยาบาท ความหงุดหงิดรำคาญใจ ความสงสัยคลางแคลงใจ ความง่วงเหงาหาวนอน แต่ไม่เป็นไร เมื่อเรารู้ตัวเมื่อเรารู้ตัวก็เพ่งสมาธิกลับเข้ามาใหม่ ฝึกไปฝึกมาตื้อบ่อยๆ เข้าไปทนไม่ไหวมันก็จะมีสมาธิขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย เขาแนะนำให้ทำอย่างนี้วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 10-20 นาที เมื่อเราฝึกมากๆ เข้าจิตใจเราจะมีพลัง สามารถต่อสู้กับกิเลสพื้นๆ ได้ เช่น สู้กับความหิว เป็นต้น
การทำกรรมฐานร่วมกับการกินแบบนี้ทำให้คนกินอาหารน้อยลง แต่ได้รับรู้รสชาติอาหารมากขึ้น มีความสุขสงบมากขึ้น และถ้ามีพลังใจทำไปได้จนเป็นนิสัยก็สามารถช่วยลดน้ำหนักได้แน่

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

เรื่องน่ารู้ ของการเผาผลาญ

เพราะความอ้วนและไขมันส่วนเกินเป็นศัตรูร้ายของผู้หญิงรักสวย ต่อไปนี้คือเรื่องราวที่จะช่วยให้คุณดูแลรูปร่างให้สวยเพรียวและมีสุขภาพดีอย่างถูกต้องโดยไม่ติดอยู่กับความเชื่อผิด ๆ อีกต่อไป
1. ผู้หญิงจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนมีรอบเดือน?
<<จริง>>
โดยปรกติแล้ว ผู้หญิงมักจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 1-2 กก. ก่อนรอบเดือนจะมาประมาณ 2-3 วัน สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปทำให้เกิดการกักน้ำไว้ในร่างกาย เพื่อลดอาการบวมน้ำในช่วงรอบเดือน จึงควรหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารรสเค็ม ของขบเคี้ยวที่โรยเกลือทุกชนิด และอย่าบริโภคอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง ๆ เช่น พาสต้า ขนมปัง หรือน้ำตาลทราย เนื่องจากคาร์โบไฮเดรตส่วนเกินในร่างกายจะนำไปสู่อาการบวมน้ำ เวลาที่ดีที่สุดสำหรับการสวมกางเกงยีนส์ของเราก็คือสามวันหลังจากหมดรอบเดือน ที่ช่วงนั้นเราจะผอมเพรียวเป็นพิเศษก็เพราะอาการบวมน้ำในร่างกายลดลงต่ำที่สุด
2. แค่เราจัดระเบียบอาหารในจานก็ช่วยให้ลดน้ำหนักได้?
<<จริง>>
เพียงเราจัดปริมาณอาหารที่จะบริโภคให้ถูกต้อง เช่น แทนที่แป้งด้วยผักสดและสลัด ก็จะสามารถลดน้ำหนักได้กว่า 5 กก. ต่อปี สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ควรทำ หากปรกติจานอาหารของคุณเต็มไปด้วยเนื้อสัตว์ ไส้กรอก และมันทอด ขอแนะนำว่าเวลาจัดระเบียบอาหาร ให้ครึ่งหนึ่งของจานเป็นผัก และหนึ่งในสี่เป็นแป้ง เช่น มันทอด ข้าว พาสต้า หรืออาหารคาร์โบไฮเดรตที่มีไฟเบอร์สูง และอีกหนึ่งในสี่เป็นอาหารโปรตีนปลอดไขมัน ถั่ว หรือเต้าหู้ แต่หากบริโภคเนื้อสัตว์ปลอดไขมันเกิน 90 กรัมต่อมื้อ ก็จะทำให้อ้วนได้เช่นกัน
3. การดมอาหารเป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่งของการลดน้ำหนัก?
<<จริง >>
คนที่ลดน้ำหนักหลายคนได้ค้นพบว่า การดมกลิ่นอาหารเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เราผอมลงได้ เพราะเมื่อเราได้กลิ่นอาหารที่หอมหวน ร่างกายของเราก็จะส่งข้อมูลผ่านทางจมูกไปยังต่อมไฮโปทาลามัสในสมองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความเจริญอาหาร จากการวิจัยของ ดร. อลัน เฮิร์ช นักประสาทวิทยาชาวอเมริกันพบว่า การดมอาหารนาน ๆ ก่อนจะบริโภคเข้าไปนั้น เป็นการหลอกล่อให้สมองของเราคิดว่า อาหารนั้น ๆ ได้ถูกเราบริโภคเข้าไปแล้ว ด้วยวิธีนี้ จึงแนะนำให้อุ่นอาหารจนร้อน และสูดดมให้ทั่วจานก่อนจะบริโภค
4. จริงหรือที่เราสามารถจะกระตุ้นระบบเมตาบอลิซึ่มให้ทำงานดีขึ้น?
<<จริง>>
เราสามารถเพิ่มระดับเมตาบอลิซึ่มของเราได้โดยการบริโภคอาหารมื้อเล็ก ๆ 5-6 มื้อต่อวันแทนการบริโภคมื้อใหญ่ ๆ เพียงมื้อเดียว เหตุผลก็คือ ร่างกายของเราจะสามารถเผาผลาญอาหารปริมาณน้อย ๆ ได้ดีกว่าเมื่อเราบรรจุอาหารลงไปทีละมาก ๆ การบริโภคมื้อใหญ่ ๆ แต่น้อยมื้อจะทำให้มีไขมันส่วนเกินเก็บกักไว้ในร่างกายได้มากกว่าโดยเฉพาะที่ต้นขาและสะโพกของผู้หญิง
5. ถ้าเราออกกำลังกายเพราะอยากลดน้ำหนัก และเมื่อสามารถลดน้ำหนักลงได้ตามต้องการแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องออกกำลังอีกต่อไป จริงไหม?
<<ไม่จริง>>
การออกกำลังกายจะมีผลดีกับร่างกายในระยะยาวโดยเฉพาะกับระบบเมตาบอลิซึ่มที่จะช่วยให้ประสิทธิภาพการเผาผลาญอาหารของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น หากเราออกกำลังสม่ำเสมอ ผลกำไรของการออกกำลังก็จะมากขึ้นในระยะยาว เช่น สามารถช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างกล้ามเนื้อได้ดีกว่า มีความคล่องตัวในการใช้ชีวิตประจำวันได้มากกว่าและยังช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้แม้ในขณะที่เรานอนหลับอยู่ด้วย
6. จริงไหมที่การดื่มน้ำเย็นจัด ๆ ระหว่างมื้ออาหารจะช่วยให้เราลดน้ำหนักลงได้?
<<ไม่จริง>>
เพราะจากการศึกษาพบว่าร่างกายของเราใช้พลังงานเพียงน้อยนิดมากสำหรับการเปลี่ยนอุณหภูมิของน้ำเย็นจัดให้เท่ากับอุณหภูมิของร่างกายจนแทบจะมองไม่เห็นความแตกต่างนั้น ๆ เลยด้วยซ้ำไป อย่างไรก็ตาม ยังมีวิธีการอื่นที่จะทำให้น้ำช่วยเราลดน้ำหนักลงได้ การดื่มน้ำในช่วงเวลา 1-2 ชั่วโมงหลังมื้ออาหารจะช่วยระบายเกลือส่วนเกินออกจากร่างกาย ทำให้ลดอาการตัวบวม นอกจากนี้เมื่อรู้สึกกระหาย การดื่มน้ำสะอาดแทนน้ำอัดลม น้ำผลไม้หรือแอลกอฮอล์ ก็เป็นวิธีที่ดีในการช่วยเผาผลาญแคลอรี่ออกจากร่างกายของเราด้วย และจะดีที่สุด หากเราดื่มน้ำได้ไม่ต่ำกว่า 8 แก้วต่อวัน
7. จริงหรือที่ว่า ผู้หญิงมีแฟนแล้วมักจะอ้วน มันเป็นไปได้ยังไงกัน?
<<จริงแน่นอนที่สุด>>
ก็ลองนึกถึงพฤติกรรมที่คุณสองคนนั่งอยู่ด้วยกันบนโซฟา ดูทีวีไปพลางหยิบของขบเคี้ยวใส่ปากดูสิ แบบนี้ไม่อ้วนได้ยังไง หรือไม่ก็สั่งพิซว่าถาดใหญ่มาบริโภคกันอย่างเอร็ดอร่อยนี่แหละที่ทำให้แผนการควบคุมน้ำหนักของผู้หญิงต้องเสียไป ฉะนั้นลองหันมาบริโภคอาหารทำเองที่บ้านให้บ่อยที่สุดเพราะคุณจะสามารถวางแผนมื้ออาหารได้ดีกว่าการบริโภคนอกบ้าน
8. ผู้หญิงควรมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ในช่วงวัยหลังหมดประจำเดือน
โดยมากช่วงก่อนจะหมดรอบเดือน ผู้หญิงมักมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3 กก. และเมื่ออายุ 35-40 ปีขึ้นไป การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจะทำให้มีไขมันสะสมตามร่างกายมากขึ้นโดยเฉพาะที่ขาอ่อน สะโพก ก้น ทรวงอกและบริเวณหน้าท้อง เนื่องจากการเคลื่อนไหวร่างกายที่น้อยลง หากยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและการออกกำลังกาย ก็มีแนวโน้มว่าจะต้องอ้วนขึ้นอย่างแน่นอน หากต้องการจำกัดน้ำหนัก ก็ควรยืดหยุ่นร่างกายและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ในช่วงวัย 45 ปีขึ้นไป จะเป็นเวลาที่ร่างกายต้องการอาหารน้อยลง จึงควรลดปริมาณอาหารแป้งและไขมันที่บริโภคประจำและสนใจผัก ผลไม้สดให้มากขึ้น
9. จะทำอย่างไรถึงจะชั่งน้ำหนักตัวได้แม่นยำที่สุด
ควรชั่งน้ำหนักตัวเองในเวลาเดียวกันของแต่ละวัน และจำไว้ว่าเสื้อผ้าที่คุณสวมใส่ก็สามารถเพิ่มน้ำหนักพิเศษให้กับตัวเลขน้ำหนักของคุณได้เช่นกัน ดังนั้น ควรใส่เสื้อผ้าให้น้อยชิ้นที่สุดเวลาชั่งเพื่อให้ได้น้ำหนักที่ถูกต้อง นอกจากนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่คุณจะต้องไม่เครียดให้มากเกินไปกับตัวเลขที่ได้เพราะตัวเลขนั้นไม่สามารถแยกปริมาณไขมัน น้ำและกล้ามเนื้อของคุณได้แน่นอน บางครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ก็อาจทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นจากน้ำในร่างกาย การออกกำลังเพื่อเสริมกล้ามเนื้อ ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้น้ำหนักของคุณเพิ่มได้เพราะกล้ามเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีน้ำหนักมากขึ้นนั่นเอง
10. จริงไหมที่ว่า การบริโภคมื้อดึกจะทำให้น้ำหนักขึ้นง่ายกว่ามื้อในช่วงกลางวัน
<<ไม่จริง>>
จากการวิจัยล่าสุดพบว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเวลาที่คุณบริโภค แต่สำคัญที่ปริมาณอาหารที่บริโภคเข้าไปต่างหาก หากกลางวันคุณได้บริโภคมื้อใหญ่ ๆ เต็มที่ในมื้อเดียวไม่ว่าจะเป็นมื้อเช้าหรือมื้อเย็นก็ตาม คุณก็จะมีปริมาณไขมันส่วนเกินที่สะสมในร่างกายมากกว่าการกระจายมื้ออาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ เพราะประสิทธิภาพในการเผาผลาญอาหารของร่างกายที่ผิดกันออกไปนั่นเอง
11. แคลอรี่ที่ได้จากการดื่มแอลกอฮอล์นั้น ร่างกายเราจะสามารถเผาผลาญได้เร็วกว่าแคลอรี่จากการบริโภคอาหาร
<<จริง>>
เนื่องจากแอลกอฮอล์เป็นสารพิษ ดังนั้นร่างกายจึงจะต้องเผาผลาญออกไปให้เร็วที่สุดเป็นสิ่งแรก แต่ไม่ใช่ว่าจะให้คุณดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปเป็นขวด ๆ เพื่อจะเผาผลาญไขมัน เพราะข้อเสียของเรื่องนี้ก็คือ ขณะที่ร่างกายเราได้เผาผลาญแอลกอฮอล์ออกไปนั้น ประสิทธิภาพของการเผาผลาญไขมันก็จะต่ำที่สุดด้วย ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ร่างกายของคุณจะต้องเก็บไขมันเหล่านั้นไว้ในเนื้อเยื่อนั่นเอง
12. ระหว่างการดื่มน้ำผลไม้สดที่มีเนื้อผสมอยู่ด้วยกับน้ำผลไม้สดล้วน ๆ อะไรจะดีกว่ากัน?
จำไว้ว่า หากคิดจะดื่มน้ำผลไม้ ควรเลือกน้ำผลไม้สดเสมอ เนื้อเยื่อของผลไม้ที่อยู่ในน้ำนั้นจะช่วยเติมเต็มกระเพาะของคุณได้ดีกว่าและเร็วกว่า นอกจากนี้ การได้เคี้ยวเนื้อผลไม้บ้าง ก็จะช่วยให้เราลดความหิวได้ และทำให้กระเพาะอาหารรู้สึกเติมเต็มอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ คนส่วนมากจะรู้สึกว่าเขาได้รับแคลอรี่เพิ่มขึ้นหากใช้น้ำผลไม้เป็นตัวช่วยดับกระหาย อย่างไรก็ตาม การดื่มน้ำผลไม้ 5 แก้วนั้นจะทำให้เราได้แคลอรี่เกบการบริโภคผลไม้สดถึง 10 ชิ้นเลยทีเดียว!
13. จริงไหมที่เลิกบุหรี่แล้ว จะทำให้อ้วนขึ้น?
<<ไม่จริงเสมอไป>>
ครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ที่เลิกสูบบุหรี่ยังสามารถคงน้ำหนักไว้ได้ตามเดิมหรือมีน้ำหนักตัวลดลงจากเดิมด้วยซ้ำ การที่น้ำหนักเพิ่มมากขึ้นเป็นผลมาจากระบบเมตาบอลิซึ่มที่ชะลอตัวลง ร่างกายไม่สามารถขจัดนิโคติน คาร์บอนมอนนอกไซด์และสารพิษจากยาสูบที่หลงเหลืออยู่ให้ออกไปได้ทั้งหมด คุณจึงอาจตัวบวมเมื่อคุณเลิกบุหรี่ ดังนั้น ควรงดการเติมเกลือลงในอาหารและดื่มน้ำมาก ๆ เมื่อต่อมรับรสของคุณถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง คุณก็จะบริโภคมากขึ้นเพื่อให้หายจากอาการปากว่างเมื่อไม่ได้สูบบุหรี่ หากจะให้ดี เลือกแครอทแท่ง เพรทเซลหรือหมากฝรั่งปลอดน้ำตาลเป็นเพื่อนในยามนั้น ก็จะทำให้รักษาน้ำหนักตัวเอาไว้ได้
14. เราควรใช้วิธีบริโภคอาหารไขมันต่ำเพื่อลดน้ำหนักหรือจะนับจำนวนแคลอรี่อาหารที่เราบริโภคเข้าไปดี?
<<ก็ดีทั้งคู่นั่นแหละ>>
ตราบใดที่คุณยังบริโภคอาหารไขมันต่ำอยู่ แต่คุณก็ควรจะจำเอาไว้ด้วยว่า อาหารไขมันต่ำหลายชนิดนั้นก็เต็มไปด้วยน้ำตาล ซึ่งก็จะสามารถเพิ่มแคลอรี่ให้คุณได้เช่นกัน ปัญหาใหญ่ของคนที่คิดจะควบคุมน้ำหนักก็คือ การลืมไปว่าอาหารที่ระบุไว้ว่า Reduced Fat หรือ Low Fat เช่น ไส้กรอก ชีส มันทอดบางชนิดนั้นยังมีปริมาณไขมันที่สูงอยู่ ดังนั้น เพื่อการลดน้ำหนักที่ได้ผลที่สุด ให้มุ่งความสนใจไปที่ปริมาณอาหารที่จะบริโภคเข้าไปมากกว่าเรื่องของแคลอรี่โดยรวม ทั้งนี้ให้จำไว้ว่า วัวที่กินหญ้าก็ยังอ้วนได้ทั้ง ๆ ที่หญ้านั้นไม่ได้มีไขมันสักนิด
15. มีอาหารอะไรที่จะช่วยขจัดเซลลูไลต์ได้บ้าง?
<<ไม่มี>>
เสียใจด้วยที่ต้องบอกอย่างนี้ ไขมันเซลลูไลต์ที่หน้าท้อง สะโพกและต้นขาของผู้หญิงนั้นสามารถจะขจัดออกไปได้ด้วยการควบคุมโภชนาการและการออกกำลังกายเท่านั้น สิ่งที่จะทำก็คือ ควรบริโภคอย่างมีเหตุผลและออกกำลังให้มากขึ้นอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวันต่างหาก

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

อาวุธลดน้ำหนัก

เวลาลดน้ำหนัก นอกจากจะต้องควบคุมอาหารแล้ว ยังต้องพกอาวุธประจำตัวไว้ด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าการลดความอ้วนของคุณจะได้ผลตามคาด
1. สมุดบันทึก
เอาไว้จดรายการอาหารที่คุณกินเข้าไปในแต่ละมื้อ เพื่อเปรียบเทียบว่ามีมื้อไหนที่คุณทำผิดกฏบ้างหรือเปล่า การได้อ่านสิ่งที่กินเข้าไปจะทำให้สาวๆ มองเห็นตัวเองชัดขึ้นว่า อะไรที่เป็นเหตุทำให้คุณอ้วน จะได้ตัดใจจากพิซซ่าหรือช็อกโกแลตได้เสียที
จดอารมณ์ของคุณตลอดทั้งวัน เพราะมีการวิจัยแล้วว่าระดับอารมณ์ของเรามีผลต่อน้ำหนัก คนที่เครียดจะน้ำหนักขึ้นง่ายกว่าคนอารมณ์ดี ต่อให้กินอาหารแบบเดียวกันก็เถอะ เพราะความเครียดทำให้ระบบเผาผลาญอาหารทำงานช้าลง ไขมันจึงสะสม อยู่ในร่างกายได้ ถ้าจดอารมณ์ของตัวเองเอาไว้ คุณจะรู้ว่าในแต่ละวันนั้นอะไรเป็นสาเหตุให้เราเครียด จะได้หาทางเลี่ยงหรือเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้
จดน้ำหนักตัวของคุณทุกๆ เช้า การชั่งน้ำหนักควรจะทำหลังจากอาบน้ำเสร็จ เพราะเป็นเวลาที่คุณทำธุระในห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว ตัวก็จะเบาลงและได้น้ำหนักตัวที่แท้จริง ถ้าไม่กลัวโป๊จะถอดเสื้อผ้าออกให้หมดก็ได้ จะได้น้ำหนักที่แท้จริงเป๊ะๆ เลยไง
จดสิ่งที่คุณดื่มเข้าไป ไม่ใช่แต่อาหารที่ทำให้เราอ้วน แม้แต่เครื่องดื่มก็มีส่วนเหมือนกัน สาวๆ จึงต้องจดให้ละเอียดว่าคุณดื่มกาแฟใส่น้ำตาลกี่ช้อน ครีมกี่ช้อน ดื่มน้ำอัดลมหรือเปล่า จะได้รู้ไปเลยว่าเครื่องดื่มที่เราคิดว่าเบาๆ นั้นทำให้อ้วนได้มากแค่ไหน
2. ดัมเบลล์
ดัมเบลล์เป็นเครื่องมือออกกำลังกายที่ดีมากและราคาไม่แพง เวลาวิ่งถ้าถือดัมเบลล์ไปด้วย จะช่วยให้กล้ามเนื้อแขนกระชับขึ้น นอกจากนี้ยังใช้ดัมเบลล์ในการรีดไขมันเฉพาะจุดได้ทั่วทั้งตัวเลย
3. เครื่องชั่งน้ำหนัก
เครื่องชั่งที่ได้มาตรฐานเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก แต่ส่วนมาแล้วเครื่องชั่งแบบที่เป็นเข็มมักจะไม่เที่ยงตรง สาวๆ จึงควรหาตาชั่งแบบดิจิตอลจะดีกว่า ถ้าไม่อยากเสียเงินซื้อ คุณก็อาจแวะไปใช้เครื่องชั่งของคลินิกลดน้ำหนักระหว่างทางกลับบ้านก็ได้ แต่ควรจะใช้เครื่องนั้นเป็นประจำ เพราะถ้าน้ำหนักมีการเปลี่ยนแปลงจะได้เห็นชัดเจน
4. รองเท้าวิ่ง
การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายที่สุด และให้ผลดีไม่แพ้การออกกำลังแบบอื่นเลย แต่รองเท้าวิ่งที่เลือกใช้ควรจะมีพื้นยางที่หนาพอสมควรและรองรับน้ำหนักได้ดี เพื่อป้องกันไม่ให้บาดเจ็บ เมื่อมีรองเท้าแล้ว นอกจากจะใส่วิ่ง ยังเอามาใส่เต้นแอโรบิคหรือใส่ตอนปั่นจักรยานได้ด้วย เห็นไหม..ลงทุนครั้งเดียวใช้ประโยชน์ได้ตั้งหลายสถานการณ์
5. บราสำหรับออกกำลังกาย
บราสำหรับใส่ตอนออกกำลังกายจะเป็นพวกสปอร์ตบรา จะไม่เหมือนบราทั่วไปตรงที่มันจะรองรับทรวงอกได้มากกว่า ทำให้อกไม่ยาน เวลาที่ต้องกระโดดแรงๆ หรือเคลื่อนไหวอย่างหนัก ถ้าสาวๆ ไม่ใช้บราประเภทนี้ เวลาออกกำลังควรจะเน้นท่าที่กระชับหน้าอกด้วย ไม่อย่างนั้นความผอมที่ได้มาอาจจะมาพร้อมกับถุงกาแฟ
6. ไฟเบอร์
นี่เป็นอุปกรณ์ในการลดน้ำหนักที่จะขาดไม่ได้อีกอย่างหนึ่ง เพราะถึงแม้จะรีดไขมันได้ แต่ถ้าท้องผูกไม่มีการระบายออกมา น้ำหนักตัวก็จะไม่ลดลง และอาจจะท้อใจว่าลดมาตั้งนานทำไมไม่ผอมเสียที ไฟเบอร์นอกจากจะทำให้ถ่ายแล้ว ยังเป็นไม้กวาดที่ช่วยกวาดสิ่งสกปรกออกไปจากรูขุมขนและผิวหนัง ทำให้คุณรู้สึกสดชื่น ผิวพรรณก็สวยเปล่งปลั่ง ดีต่อสุขภาพอีกด้วย ไฟเบอร์มีอยู่มากในผักใบเขียว ผลไม้ และเมล็ดธัญพืช ที่ตำราลดน้ำหนักบอกให้ทานสลัดผักมากๆ น่ะก็เพราะอย่างนี้เองล่ะ

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

การทานผงชูรส กับน้ำหนักตัว

ผู้ที่รับประทานผงชูรส หรือโมโนโซเดียมกลูตาเมต (MSG) มีแนวโน้มที่จะอ้วนกว่าผู้ที่ไม่รับประทาน แพทย์สหรัฐและแพทย์จีนเขาบอกมา
ผศ.น.พ.ข่าเหอ จากมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนาแชพเพลฮิลล์ รวมทั้งแพทย์จากโรงพยาบาลฟูไว่และสถาบันโรคหัวใจ กรุงปักกิ่ง
ประเทศจีน ร่วมกันศึกษาถึงผลกระทบของการรับประทานผงชูรส หรือเอ็มเอสจี ในชาวจีนทั้งเพศชายและหญิงจำนวน 750 คน
อายุ 40-59 ปี ใน 3 หมู่บ้านห่างไกลทางตอนเหนือและตอนใต้ของประเทศ โดยชาวจีนกลุ่มนี้ใช้พลังงานแต่ละวันเท่าๆ กัน และรับประทานอาหารที่มีจำนวนแคลอรี่เข้าไปเท่าๆ กัน
ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่รับประทานผงชูรสมากมีแนวโน้มอ้วนกว่ากลุ่มที่รับประทานผงชูรสน้อย และกลุ่มที่ทานผงชูรสมากจะอ้วนกว่ากลุ่มผู้ที่ไม่ทานผงชูรสถึง 3 เท่า
ผศ.น.พ.ข่าเหอกล่าวว่า "การศึกษาของเราเป็นการศึกษาแรกที่โยงเรื่องการรับประทานผงชูรสกับน้ำหนักตัวเข้าด้วยกัน ส่วนสาเหตุที่เลือกศึกษาผู้ที่อยู่ในชนบทเพราะชาวบ้านเหล่านี้ไม่ค่อยรับประทานอาหารประเภทผ่านกระบวนการหรือโพรเซสฟู้ด (เช่น ไส้กรอก ลูกชิ้น อาหารกระป๋อง) แต่จะใส่ผงชูรสเองเมื่อปรุงอาหาร
นายแพทย์ผู้นี้ยังกล่าวต่อไปอีกว่า "ผลการศึกษาที่ได้พบว่าผู้ที่รับประทานผงชูรสมากมีน้ำหนักตัวมากกว่าผู้ที่ไม่รับประทาน ซึ่งตรงกับผลการศึกษาที่ทำในสัตว์ ส่วนผงชูรสนั้นแม้องค์กรอาหารและยาของสหรัฐและองค์กรสาธารณสุขทั่วโลกจะยอมรับว่าไม่มีอันตราย แต่ปัญหาก็คือ แล้วมันดีต่อสุขภาพหรือไม่?"

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

8 ความลับจับไขมัน

ความลับต่อไปน้เป็นเรื่องที่คนอยากผอมไม่รู้ไม่ได้ เพราะบอดี้ของคุณจะเป็นแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับมันนี่เอง
1. การกินมื้อดึกไม่ทำให้อ้วนเสมอไป
จะอ้วนหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลา แต่ขึ้นอยู่กับชนิดของอาหาร ปริมาณ และเวลาที่คุณกินมันเข้าไปต่างหาก ถ้าคุณกินมื้อดึกเป็นเป็นแค่มื้อเล็กๆ และมีแคลอรีน้อย คุณก็จะมีไขมันเหลืออยู่ในร่างกายน้อยกว่า การกินมื้อกลางวันแบบมโหฬารจนเหลือไขมันสะสมในตัวเพียบ วิธีกินที่ดีที่สุด จึงควรจะเลือกกินน้อยๆ แต่กินบ่อย แบบนี้รับรองว่าความอ้วนไม่ได้แอ้มหุ่นคคุณแน่
2. ร่างกายเผาผลาญแอลกอฮอล์เร็วกว่าอาหารชนิดอื่น
ได้ยินแบบนี้เมรีขี้เมาอย่าเพิ่งตีปีก เพราะถึงระบบเผาผลาญจะทำงานได้เยอะมาก แต่เหล้าก็ไม่ช่วยให้คุณผอมลงอยู่ดี เนื่องจากขณะที่ระบบเผาผลาญแอลกอฮอล์อยู่นั้น มันจะสามารถเผาผลาญไขมันจากอาหารได้น้อยลง ฉะนั้นไขมันที่ได้มาจากการกินมื้อนั้นจึงไม่ถูกเผาผลาญไป แต่จะถูกเก็บรวมกันไว้ที่พุงใบย่อยๆ กับบั้นท้ายคุณนั่นเอง
3. ดมมากๆ ช่วยให้ผอมได้
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพราะคนที่ดูถูกแนวคิดนี้อ้วนกันมาเยอะแล้ว การดมกลิ่นอาหารนานๆ ก่อนลงมือกิน ทำให้กินน้อยลงได้จริงๆ เพราะเวลาที่เราได้กลิ่น ร่างกายจะส่งข้อมูลไปยังประสาทส่วนที่ควบคุมความอยากอาหาร ทำให้อยากกิน ประสาทควบคุมความอยากอาหารจะเริ่มทำงานน้อยลง ทำให้เราไม่ค่อยอยากกินและจะกินได้น้อยลง
4. น้ำหนักเพิ่มไม่ได้แปลว่าอ้วนเสมอไป
ตัวเลขบนตาชั่งไม่ได้เป็นตัวกำหนดความสวยงามของบอดี้เลย เพราะตาชั่งคุณแยกไม่ได้หรอกว่าส่วนไหนคือน้ำหนักของกระดูกกับกล้ามเนื้อ และส่วนไหนเป็นน้ำหนักของไขมัน ถ้าคุณออกกำลังกายให้ร่างกายเฟิร์มขึ้น มวลกล้ามเนื้อก็จะมากขึ้น ทำให้น้ำหนักบนตาชั่งเพิ่มขึ้นไปด้วย แต่รูปร่างกลับผอมลง สาวๆ จึงไม่ควรให้ความสำคัญกับน้ำหนักตัวมากนัก แต่ควรเน้นไปที่ความกระชับของรูปร่างมากกว่า เอาเป็นว่าถ้าใส่เสื้อผ้าแล้วดูดี นั่นล่ะคือน้ำหนักที่เหมาะสมแล้ว
5. นอนน้อยก็อ้วนได้
เพราะการพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้ระบบเผาผลาญล้า และทำงานได้ไม่ดี ทีนี้กินอะไรเข้าไปก็เหลือตกค้างกลายเป็นไขมันส่วนเกินทั้งนั้นล่ะ
6. ก่อนมีรอบเดือนผู้หญิงจะอ้วนขึ้น
เพราะเวลาใกล้ๆจะมีรอบเดือน ฮอร์โมนในร่างกายเราจะเปลี่ยนแปลง ทำให้ร่างกายต้องเก็บกักน้ำไว้มากเป็นพิเศษ น้ำหนักส่วนที่เพิ่มขึ้นมาในช่วงนี้ก็คือน้ำที่ว่านั่นเอง และในระยะนี้สาวๆ ควรจะงดอาหารที่เค็ดจัด รวมทั้งพวกที่คาร์โบไฮเดรตสูงๆ อย่างพิซซ่า โดนัท ขนมปัง เพราะคาร์โบไฮเดรตจะทำให้ร่างกายมีอาการบวมน้ำ ทำให้เรายิ่งดูอวบระยะสุดท้ายเข้าไปอีก
7. ผู้ชายเป็นสาเหตุหนึ่งของความอ้วน
เรื่องนี้เหมือนจะเป็นแค่คำขู่ แต่กาลเวลาได้พิสูจน์แล้ว่ามันคือสัจธรรม! เพราะเวลาสาวไปไหนกับผู้หญิงด้วยกัน ถ้าพูดคำว่าไดเดททุกคนจะเข้าใจ เห็นใจ และช่วยสนับสนุน แต่ถ้าไปกับแฟนไม่มีเสียล่ะที่เขาจะมาทนนั่งกินสลัดผักกับคุณได้ทุกมื้อ คนมีแฟนจึงมักจะเสียหุ่นโดยอัตโนมัติ เพราะเมนูประจำที่เคยกินมันได้กลายเป็นอดีตไปซะแล้ว ทุวันนี้คุณเธอมีชีวิตอยู่ได้ด้วยพิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ ข้าวสวยพร้มกับเต็มโต๊ะ แบบที่หนุ่มๆ เขาชอบกินกันไง
8. ดื่มน้ำเย็นไม่ทำให้ผอม
เคยมีการวิจัยว่าการดื่มน้ำเย็นจัดจะทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานมากกว่าเดิม ทำให้ผอมลงได้ แต่ผลการวิจัยชิ้นใหม่บอกว่าพลังงานที่ใช้ในการเปลี่ยนน้ำเย็นให้เป็นน้ำอุณหภูมิปกติน่ะ มันเล็กน้อยจิ๊บๆ ซะเหลือเกิน ไม่ถึงขนาดจะทำให้ผอมได้หรอก แต่ความเย็นของน้ำกลับจะไปทำให้น้ำมันจากอาหารที่เรากินเข้าไปแข็งตัวและจับตัวเป็นก้อนๆ เกาะอยู่ตามผนังลำไส้มากกว่า ซึ่งถ้ามีไขมันแบบนี้มากๆ การดูดซึมวิตามินของลำไส้ก็จะเสียไป ทำให้ร่างกายอ่อนแอและมีโรคภัยไข้เจ็บตามมาอีกเพียบเลย

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

8 เคล็ดลับลดน้ำหนักแบบไม่ไดเอ็ท

1. เพิ่มปริมาณน้ำ
ทำไมถึงต้องเพิ่มปริมาณน้ำ ก็เพราะว่าน้ำเป็นตัวนำออกซิเจนและอาหารไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย ช่วยปรับความร้อนของร่างกายให้คงที่อยู่เสมอ ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งไม่แห้งตึง แล้วยังช่วยการทำงานของระบบขับถ่ายให้ดีขึ้นอีกด้วย ที่สำคัญคือช่วยให้การทานอาหารลดลงเพราะรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น เราจึงควรดื่มน้ำให้มากๆ แทนการดื่ม ชา กาแฟ หรือน้ำผลไม้ เพราะน้ำเปล่าคือเครื่องดื่มที่ดีที่สุดในโลก
2. ปรับเปลี่ยนอาหาร
ลองปรับเปลี่ยนการเลือกรับประทานอาหารใหม่ เช่น เลือกรับประทานข้าวโอ๊ตแทนการกินซีเรียลเลือกน้ำสลัดไขมันต่ำแทนน้ำสลัดธรรมดา หรือเปลี่ยนมารับประทานข้าวกล้องแทนข้าวสวย ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นค่อยๆ ทำไปทีละอย่างก็ได้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพียงชั่วข้ามคืนแต่อย่างใด
3. ทิ้งอาหารขยะไปซะ
อาหารขยะมีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ มักจะประกอบไปด้วย เกลือ น้ำตาล ไขมัน หรือแคลอรีในปริมาณสูง ซึ่งเป็น ตัวการทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างมาก วิธีที่คุณจะสามารถกำจัดอาหารขยะคือ เก็บกวาดอาหารขยะทั้งหลายในตู้เย็น ตู้อาหาร โยนทิ้งไปซะ แล้วก็ไม่ต้องไปซื้อมาเก็บไว้อีก
4. มังสวิรัติ 1 วัน
เลือกสัก 1 วันในสัปดาห์ มาทานผัก ผลไม้ เพื่อเพิ่มกากใยให้กับร่างกาย และยังช่วยลดปริมาณของไขมันที่คุณทานเข้าไประหว่างสัปดาห์อีกด้วย มากไปกว่านั้น ผัก ผลไม้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ ที่จำเป็นต่อรางกายอีกด้วยนะคะ
5. มารับประทานถั่วกันเถอะ
ถั่วเป็นอาหารที่ดีที่สุดอีกชนิดหนึ่งที่เราควรรับประทาน เพราะอุดมไปด้วยไขมันและโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ แต่ควรจะหลีกเลี่ยงการรับประทานถั่วที่มีเกลือหรือน้ำตาลผสมอยู่นะคะ ไม่อย่างนั้นน้ำตาลที่ผสมอยู่กับถั่ว จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจเลยทีเดียว
6. อบ นึ่ง ต้ม ย่าง ลด ละ ของผัด ของทอด
ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีวิธีการปรุงแบบไม่ใช้น้ำมันจะดีกว่านะคะ พวกผัดๆ ทอดๆ หลีกเลี่ยงได้จะดีที่สุด ควรจะหันมาเลือกทานอาหารจำพวก อบ นึ่ง ต้ม ย่าง แทน จะได้ลดปริมาณไขมัน ที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายออกไป อีกทั้งยังดีต่อสุขภาพในระยะยาวด้วยนะคะ
7. ออกกำลังกายยามว่างหรือไม่ว่าง
การออกกำลังกายนั้นไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องไปเข้าฟิตเนสอย่างเดียว คุณสามารถออกกำลังกายได้ทั้งในขณะที่ทำงานหรืออยู่บ้าน เช่น หากคุณนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ คุณก็สามารถขยับต้นคอ เพื่อคลายกล้ามเนื้อ และลุกขึ้นบิดตัวไป-มา ทุกๆ ครึ่งชั่วโมงเพื่อให้เลือดไหลเวียน หรือทำงานบ้าน
ด้วยตนเอง เช่น เช็ดกระจกหรือล้างรถ ก็เป็นการยืดเส้นยืดสายอย่างดีทีเดียว
8. รู้จักเก็บตุนอาหารว่าง
ในช่วงระหว่างมื้ออาหาร หากคุณรู้สึกหิวก็สามารถเลือกรับประทานอาหารว่างได้นะคะ เพราะเมื่อถึงเวลามื้ออาหารคุณจะได้ไม่รู้สึกโหยอาหารมาก
ซึ่งอาจจะทำให้คุณ รับประทานอาหารที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาหารว่างที่ควรเลือกนั้นอาจจะเป็นผลไม้สด แครกเกอร์ หรือขนมปังโฮลวีตก็ได้ค่ะ
เริ่มทำวันละเล็ก ละน้อย และเริ่มไปทีละอย่าง จนคุณติดเป็นนิสัย เพียงเท่านี้ เจ้าน้ำหนักส่วนเกินที่คุณไม่ต้องการ ก็จะไม่มาเคาะประตูร้องหาคุณอีกต่อไปค่ะ

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

ออกกำลังกาย..ลดน้ำหนัก คลายความเครียด

โดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่จะมองผลของการออกกำลังกายไปในเรื่องของการลดน้ำหนัก เพิ่มความฟิตความสมบูรณ์ของร่างกายให้มีรูปร่างที่สวยงามดูดี หรืออาจจะออกกำลังกายเพื่อป้องกันและช่วยควบคุมโรคต่างๆ เช่น เบาหวาน โคเลสเตอรอลในเลือด ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ เป็นต้น แต่ในขณะเดียวกันประโยชน์ของการออกกำลังกายสามารถเปลี่ยนแปลงไม่เฉพาะทางด้านสุขภาพร่างกายเท่านั้น ยังช่วยทำให้คนเรามีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นได้เช่นเดียวกัน หรือคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “ไปออกกำลังกายคลายเครียด” อาจเป็นเพราะบางคนเข้าใจว่าในขณะที่ออกกำลังกายนั้น ร่างกายจะหลั่งสารชนิดหนึ่งออกมาจากสมองที่เรียกว่า “สารสื่อประสาท (Neurotransmitter)” ซึ่งมีผลต่อการควบคุมอารมณ์และจิตใจ ทำให้เรารู้สึกสบายใจ ผ่อนคลายหลังจากที่ออกกำลังกาย ถึงแม้ว่ายังไม่มีหลักฐานยืนยันที่แน่นอนในเรื่องนี้ก็ตาม แต่ที่แน่ๆ การออกกำลังกายมีประโยชน์ช่วยคลายเครียดได้แน่นอน เนื่องจาก...
การออกกำลังกายช่วยให้รู้สึกคลายความกังวลต่างๆ ลดความตึงเครียดของระบบประสาท รวมถึงกล้ามเนื้อ (Muscle tension) ซึ่งอาจเกิดจากความเครียด ความกังวล ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับได้สนิท และนานขึ้น
ทำให้ร่างกายตื่นตัวอยู่เสมอ มีจิตใจที่ปลอดโปร่ง มีสมาธิในการทำงานหรือทำกิจกรรมต่างๆ ดีขึ้น ความสามารถในการรับรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวดีขึ้น
ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย เนื่องจากร่างกายมีการหลั่งสารเอนโดรฟิน (Endorphins) ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและมีอารมณ์ที่ดีขึ้นโดยเฉพาะในช่วง 90 -120 นาทีหลังจากที่ออกกำลังกาย
มีส่วนทำให้ได้ระบายความท้อแท้ ผิดหวัง ซึ่งถ้าเกิดความท้อแท้และผิดหวังบ่อยๆ อาจทำให้อยู่ในภาวะเครียดได้
ออกกำลังกายทำให้รู้สึกดีกับตัวเอง เมื่อมีความรู้สึกที่ดี รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าก็สามารถช่วยเป็นเกราะป้องกันที่ดี และขจัดความเครียดต่างๆ ที่อยู่รอบตัวออกไปได้
ช่วยให้รับประทานอาหารได้ดีขึ้น ในคนที่มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอส่วนใหญ่แล้วจะรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งสารอาหารที่มีคุณค่าต่อร่างกายเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยให้ร่างกายป้องกันและจัดการกับความเครียดต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
ช่วยให้นอนหลับสบาย จากการที่กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ออกแรงใช้พลังงาน รวมถึงจิตใจที่ปลอดโปร่ง
ป้องกันการเกิดโรคต่างๆ จากความเครียด ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โคเลสเตอรอลสูง และโรคหัวใจ เป็นต้น
ขั้นตอนเริ่มต้นของการออกกำลังกาย
จากประโยชน์ที่ได้ในการออกกำลังกายเพื่อช่วยลดและควบคุมความเครียดอย่างที่กล่าวมานี้ เราควรหาเวลาว่างให้กับตัวเองอย่างน้อยครั้งละ 30 นาทีเป็นอย่างต่ำ ในการเริ่มต้นออกกำลังกายหรือหากิจกรรมที่ทำแล้วรู้สึกสบายใจ โดยลักษณะของการออกกำลังกายนั้นสามารถเลือกได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่การออกกำลังกายแบบยกน้ำหนัก (Resistance training) การออกกำลังกายแบบแอโรบิค (Aerobic exercise) เช่น การเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือเข้าร่วมแอโรบิคคลาสต่างๆ รวมถึงการเล่นกีฬาชนิดต่างๆ ได้แก่ เทนนิส แบดมินตัน วอลเลย์บอล ฟุตบอล เป็นต้น
ควรออกกำลังกายให้ได้อย่างต่ำ 5–6 ครั้ง/สัปดาห์ ความหนักของการออกกำลังกายอยู่ในช่วงปานกลาง (รู้สึกว่าหนักกว่าที่เคยทำตามปกติ แต่ไม่เหนื่อยจนเกินไป) เพราะถ้าหนักจนเกินไปอาจทำให้ความสนุกในการออกกำลังกายลดลงและเครียดได้ สำหรับคนที่ไม่ค่อยมีแรงกระตุ้น หรือแรงจูงใจในการออกกำลังกาย และกลัวว่าไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง ให้ชวนเพื่อนไปออกกำลังกายด้วยกัน ในขณะเดียวกันควรมีการตั้งเป้าหมายสำหรับตัวเองนอกเหนือจากการลดความเครียดเอาไว้ด้วย เพื่อเป็นการช่วยเพิ่มแรงกระตุ้นให้สามารถออกกำลังกายได้นานๆ
นอกเหนือจากการออกกำลังกายดังกล่าวแล้ว ยังมีวิธีการฝึกในลักษณะอื่นที่ช่วยคลายความเครียดลงได้ โดยใช้เทคนิคการฝึกที่เรียกว่า Mind-body work out หมายถึง การฝึกทั้งทางร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆ กัน ที่กำลังนิยมกันในตอนนี้ ได้แก่ โยคะ และพิลาทิส เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการฝึกที่ง่ายๆ ไม่เสียเงิน ไม่เสียเวลา และไม่ต้องเดินทางไปไหน แต่สามารถช่วยลดความเครียดได้เช่นเดียวกัน โดยการทำ Relaxation breathing หรือฝึกการหายใจเพื่อความผ่อนคลาย โดยสามารถฝึกในท่านั่งหรือท่านอนที่สบายก็ได้ อยู่ในห้องที่เงียบๆ เป็นการปิดรับสิ่งกระตุ้นรบกวนต่างๆ รอบตัวเราออกไป กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ในร่างกายก็จะลดความตึงเครียด เมื่อไหร่ที่ร่างกายเกิดการผ่อนคลาย จิตใจก็จะรู้สึกผ่อนคลายตามไปด้วย ช่วยทำให้หลับสบาย สามารถทำได้ 2 ครั้งต่อวัน (เช้า และบ่าย) โดยใช้เวลาในแต่ละครั้งไม่เกิน 10 นาที
วิธีการฝึกการหายใจเพื่อความผ่อนคลายนั้น เริ่มจากนั่ง(หรือนอน)หลับตาประมาณ 30 วินาทีไม่ต้องนึกถึงอะไรทั้งสิ้น ให้มุ่งจุดสนใจอยู่ที่การหายใจ ปล่อยตัวตามสบายให้อัตราการหายใจค่อยๆ ลดลงอย่างช้าๆ เหมือนกับตอนนอนหลับอยู่ หายใจเข้า-ออกอย่างช้าๆ และให้นึกถึงความเครียดต่างๆ ออกไปทุกครั้งที่หายใจออก ให้การหายใจเป็นไปอย่างช้าๆ ตามธรรมชาติและปล่อยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายตามไปด้วย ด้วยเทคนิคนี้สามารถกำหนดให้แต่ละส่วนของร่างกายเกิดการผ่อนคลายได้เช่นเดียวกัน เช่น ขณะหายใจออกให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ หายใจออกครั้งต่อไปให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อหัวไหล่ ในทุกๆ ครั้งของการหายใจออกให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อแต่ละส่วนของร่างกายไปจนครบ โดยเริ่มจากส่วนบนของร่างกาย ไล่ลงไปที่ส่วนเท้า (ศีรษะ คอ ไหล่ แขน มือ หน้าอก ท้อง สะโพก ต้นขา หัวเข่า น่อง ข้อเท้า และปิดท้ายด้วยเท้า)
เทคนิคอีกอย่างคือการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ (Muscle relaxation sequence) ลักษณะจะคล้ายกับการฝึกหายใจเพื่อความผ่อนคลาย โดยเน้นกล้ามเนื้อแต่ละส่วนของร่างกายเช่นเดียวกัน เพียงแต่ต้องเกร็งกล้ามเนื้อก่อนแล้วค่อยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย (Relaxation) อย่างเต็มที่ หลังจากทำเสร็จแล้วให้นั่ง (นอน) พักสักครู่ประมาณ 2–3 นาทีก่อนที่จะลุกขึ้น
ด้วยวิธีการและเทคนิคการออกกำลังกายที่ได้กล่าวถึงนี้คงจะช่วยให้คุณๆ ทั้งหลายคลายความเครียดลงได้บ้างนะครับ

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

ทาน “บลูเบอร์รี่” ลดคอเลสเตอรอล

“บลูเบอร์รี่” นั้นสามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ค่ะ ใครที่ชอบรับประทานบลูเบอร์รี่ ผลไม้สีม่วงเข้ม เตรียมตัวเฮได้แล้วนะคะ
เนื่องจากมีการศึกษาล่าสุดเมื่อไม่นานนี้เองพบสารอาหารที่พบในผลบลูเบอร์รี่มีฤทธิ์สามารถลดระดับ คอเลสเตอรอลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นักวิจัยด้านเคมี Agnes Rimando จากสถาบัน U.S. Department of Agriculture กล่าวว่า สารอาหารที่ว่านี้มีชื่อว่า pterostilbene ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้าน อนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง ทำให้มีผลในการลดคลอเลสเตอรอล ในร่างกายและเชื่อว่าน่าจะนำมาพัฒนาเป็นยาเพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วย ที่มีปัญหาเรื่องคอเลสเตอรอลสูง
อย่างไรก็ตามการค้นพบนี้ยังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เนื่องจากเป็นเพียงการทดลองในหนูและจะต้องมีการพัฒนาเพื่อนำมาทดลองในมนุษย์ต่อไป ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าขนาดหวังผลการลดระดับคอเลสเตอรอลดังกล่าวในมนุษย์นั้นจะต้องรับประทานบลูเบอร์รี่จำนวนเท่าใด
จากข้อมูลการวิจัยพบว่าบลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีการระบุว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ เป็นผลไม้ที่มีการพบปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง ที่ช่วยต้านการทำลายเซลล์ของร่างกาย และสารอีกหลายชนิดที่มีฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง
และจากผลวิจัยล่าสุดนี้เองที่พบว่าสารที่มีมากในบลูเบอร์รี่คือเพคตินที่ทำหน้าช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในร่างกาย และยังมีการวิจัยอื่นๆ อีกที่สนับสนุนว่า บลูเบอร์รี่ช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจำอีกด้วย
นักวิจัยยังกล่าวอีกว่าสาร pterostilbene ในบลูเบอร์รี่ที่ว่านี้มีคุณสมบัติคล้ายๆ กับ resveratrol ที่พบในองุ่นและไวน์แดง ซึ่งก็มีฤทธิ์ลดระดับคลอเลสเตอรอล เช่นกัน อีกทั้งมีนักวิจัยหลายท่านพบสาร pterostilbene นี้ในองุ่นด้วย แต่นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการพบในบลูเบอร์รี่
ในการศึกษานี้ได้ทำในมหาวิทยาลัยเภสัชศาสตร์มิสสิซิปปี้ (The University of Mississippi School of Pharmacy) โดยทดลองในเซลตับของหนูด้วยสารที่สกัดจากผลบลูเบอร์รี่ 4 ชนิดพบว่า pterostilbene จะให้ผลแรงที่สุดในการลดระดับคลอเลสเตอรอล และระดับไขมันในเลือด
ทั้งนี้ผลของมันมีฤทธิ์พอๆ กับ ciprofibrate ซึ่งเป็นยารักษาในผู้ป่วยที่มีปัญหาคอเลสเตอรอล และไขมันในเลือดสูง และมีฤทธิ์แรงกว่า resveratrol แต่ยา ciprofibrate ซึ่งเป็นยารักษาในปัจจุบันจะมีปัญหาอาการข้างเคียง เช่น ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน
ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่าสารจากบลูเบอร์รี่นี้จะมีประสิทธิภาพสูงแต่อาการข้างเคียงน้อยกว่า มันจึงน่าสนใจ มากกว่านั่นเองค่ะ

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

6 อัศวินช่วยลดไขมันในเส้นเลือด

โดยปรกติ ร่างกายของคนเราสามารถสร้างคอเลสเตอรอลได้เองอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ระดับคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดก็จะมีสูงขึ้นตามไปด้วย เสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดอุดตันและหัวใจวายแน่นอน
อย่างไรก็ตาม อาหารบางอย่างมีคุณสมบัติช่วยควบคุมคอเลสเตอรอลได้อย่างดีเยี่ยม
6 อัศวินตัวสำคัญนั้นคือ มะเขือต่างๆ หอมหัวใหญ่ กระเทียมใหญ่ๆ ถั่วเหลือง แอปเปิล และโยเกิร์ตค่ะ
วันใดมื้อใดที่คุณมีเมนูอาหารซึ่งอุดมไปด้วยไขมันมากๆ ก็ควรรับประทานอัศวิน ตัวหนึ่งตัวใดเพื่อควบคุมไขมัน เช่น เมื่อรับประทานแกงกะทิที่มันๆก็ควรรับประทานมะเขือเปราะ หรือมะเขือพวงมากๆ เมื่อรับประทานไข่มากๆ ซึ่งเป็นตัวเพิ่มคอเลสเตอรอลที่น่ากลัวนัก คุณก็ควรรับประทานหอมหัวใหญ่ร่วมกับไข่เจียวหรือไข่ดาวด้วย
หรือรับประทานแอปเปิลวันละ 1 ผลทุกๆ วัน หรือโยเกิร์ตวันละ 1 ถ้วยทุกๆ วัน รับประทานกระเทียมสดๆเล็กน้อยกับอาหารจานยำ จานคาวต่างๆ เพื่อขับคอเลสเตอรอลออกจากร่างกาย อันเป็นเรื่องที่แสนง่ายดายกว่าการเลิกรับประทานอาหารมันๆทุกจานโดยสิ้นเชิง
คุณยังสามารถรับประทานเนย แฮม เบคอน ขาหมู ไข่ หรืออาหารไขมันสูงจานต่างๆ ได้ในบางมื้อบางวันหากเพียงคุณรู้จักรับประทานอาหารอัศวินเหล่านี้เข้าไปด้วย ซึ่งนอกจากจะช่วยลดคอเลสเตอรอลแล้ว อาหาร 6 อย่างนี้ยังมีคุณค่าของสารอาหารและแร่ธาตุสำคัญที่จะนำประโยชน์สู่ร่างกายของคุณอย่างมากมายในด้านอื่นๆ อีกด้วย เช่น แอปเปิล หอมใหญ่และโยเกิร์ต ช่วยให้คุณขับถ่ายดี ผิวพรรณสวยงาม เป็นต้น
รู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองหาผัก ผลไม้เหล่านี้มารับประทานกันนะคะ

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

อดอาหาร.. ระวังอันตราย

การลดน้ำหนักด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง เป็นบ่อนทำลายสุขภาพโดยที่เราไม่รู้ตัว คุณลองคิดง่ายๆ ก็ได้ว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นกับคุณหรือไม่... เมื่อต้องหยุดรับประทานอาหาร และสุขภาพของคุณจะย่ำแย่เพียงไรเมื่อตกอยู่ในสภาวะดังกล่าว มีรายงานกล่าวว่า ชาวอเมริกันบางกลุ่มหรือผู้นับถือบางศาสนา มีความเชื่อที่ว่า การอดอาหารเป็นการล้างพิษออกจากร่างกาย คุณเชื่อเช่นนั้นหรือไม่...
ในทางการแพทย์แล้ว พบว่า ภายใต้สภาวะร่างกายที่ปกติ ระบบพลังงานได้มาจากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตและไขมัน ถ้าหากรับประทานคาร์โบไฮเดรตเกินกว่าความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน ก็จะถูกสะสมไว้ตามกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ รวมทั้งตับอ่อนในรูปของไขมัน เมื่อใดที่เราขาดพลังงาน ร่างกายก็จะดึงพลังงานที่สะสมไว้ตามส่วนต่างๆ ออกมาใช้
มองย้อนกลับไปสู่ความเชื่อที่ว่า การอดอาหารเพื่อช่วยล้างพิษและลดไขมันไปพร้อมกันนั้น คุณไม่จำเป็นต้องทำถึงขั้นนั้น เพราะกลไกและอวัยวะของร่างกายสามารถขับสารพิษได้ด้วยตัวเอง ก็คือ "ตับ" นั่นเอง ซึ่งจะทำหน้าที่ขับสารพิษออกจากร่างกายได้เกือบทั้งหมด ซึ่งหากคุณคิดว่าต้องการล้างพิษออกจากร่างกาย คุณควรให้ตับทำหน้าที่นั้นอย่างสมบูรณ์ ด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์ตามปกติ และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะดีกว่า
นอกจากนี้ หากคุณเลือกที่จะลดน้ำหนัก โดยการอดอาหารอย่างน้อย 2 วัน คุณจะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน คุณจะรู้สึกอ่อนเพลีย ซีด ปวดศีรษะ คลื่นเหียน และจะรู้สึกอ่อนระโหยโรยแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดังนั้น หากคุณเผชิญกับอาการนี้มาแล้ว ควรหันมารับประทานอาหารดังเดิม แต่ขอให้เริ่มต้นด้วยอาหารเหลว เช่น ดื่มน้ำผลไม้แทนการดื่มน้ำเปล่าสัก 2-3 แก้วต่อวัน เพื่อให้มีพลังงานเพียงพอในการเผาผลาญไขมันในร่างกาย เพราะถ้าเกิดภาวะขาดน้ำแล้วจะเป็นสาเหตุทำให้ระดับของโพแทสเซียม และแมกนีเซียมขาดความสมดุล ซึ่งเป็นบ่อเกิดทำให้ปวดศีรษะ
นอกจากนี้ แล้วน้ำหนักที่ลดลงจากการอดอาหาร มักนำมาสู่การกลับมามีน้ำหนักเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมในภายหลัง ซึ่งผลจากการที่มีน้ำหนักเปลี่ยนแปลงทีละมาก ๆ ตลอดเวลากลับมีผลเสียมากกว่า จากการศึกษาพบว่าการมีน้ำหนักเปลี่ยนแปลงบ่อย ๆ จะทำให้มีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น
และมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจขาดเลือดเพิ่มสูงขึ้น ผลเสียต่าง ๆ เหล่านี้พบว่าเกิดมาจากการอดอาหารนั่นเอง โดยการอดอาหารจะทำให้ปริมาณไขมันและกล้ามเนื้อของคุณน้อยลง ซึ่งมีผลทำให้อัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายคุณลดน้อยลงด้วย เมื่อคุณเลิกอดอาหารและกลับมารับประทานอาหารใหม่คุณมักจะทานอาหารมากกว่าเดิม (เป็นผลที่ตามมาจากการอดอาหาร) คุณจึงมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาเหมือนเดิม หรือในบางครั้งอาจจะมากกว่าเดิม
การกลับมาสู่สภาวะปกติครั้งนี้ คุณต้องจัดตารางให้ร่างกายใหม่และตั้งใจอย่างจริงจัง ลองหาวิตามินมาเป็นอาหารเสริมบ้าง และกำหนดตารางออกกำลังกายที่แน่นอน ที่สำคัญคือ อย่าอดอาหารถ้าคุณกำลังตั้งครรภ์ หรือไม่ควรรับประทานอาหารตามใจปากอย่างที่ผ่านมา
คราวนี้ก็ทราบแล้วใช่ไหมคะว่า การอดอาหารนั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับคุณเลย มิหนำซ้ำยังทำให้ร่างกายอ่อนแอ ไม่คุ้มค่ากับรูปร่างอันสวยงามที่ต้องแลกมาด้วยความทรมาน

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

ทำไมลดหน้าท้องไม่ลงซะที

ทำตามสูตรก็แล้ว แต่น้ำหนักก็ยังเยอะอยู่ โดยเฉพาะเจ้าส่วนหน้าท้องที่ดูเหมือนมันจะปวารณาตัวแล้วว่าจะอยู่เป็นเพื่อนตายเราไปถาวร...ถ้ากำลังเจอปัญหานี้อยู่ลองสังเกตดูดี ๆ สิว่าพฤติกรรมที่ไม่น่าจะมีอะไรต่อไปนี้เป็นที่มาของเพื่อนตาย (ที่เราไม่ต้องการอย่างว่ารึเปล่า)
ต้นเหตุที่ 1 : โทรทัศน์
ระวังการเอกเขนกสบายอยู่แต่บนโซฟา เพราะเราค้นเจอมาว่าคนที่ดูโทรทัศน์ระหว่าง 1 - 2 1/2 ชั่วโมงต่อวัน จำนวนถึง 93 ใน 100 คน ดูเหมือนว่าจะมีน้ำหนักเกินมาตรฐานกว่าคนที่ดูทีวีต่ำกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน เนื่องจากเราไม่ค่อยจะเคลื่อนไหวตัวตอนดูโทรทัศน์นั่นเอง และยังพบด้วยว่าช่วงเวลานั้นอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด รวมถึงระดับการเผาผลาญก็จะลดลงด้วย ในคนรูปร่างปกติ ขณะดูทีวีระบบการเผาผลาญ หรือเมตาบอลิซึมจะทำงานต่ำมากเพียง 20 - 30 แคลอรีต่อชั่วโมง หมายความว่าถ้าเราจุ้มปุ๊กหน้าทีวี 5 ชั่วโมงทุกวัน น้ำหนักจะเพิ่มขึ้น 0.45 กิโลกรัมใน 1 สัปดาห์ นี่ยังไม่นับแคลอรีจากขนมที่เราถือติดมือไว้ทุกครั้งเวลาอยู่ตรงนั้นอีกละ
Solution : ง่ายมาก ก็ดูเฉพาะรายการโทรทัศน์ที่ชอบ จบแล้วก็ปิด และขณะดูก็ไม่ควรทานขนม

ต้นเหตุที่ 2 : ชีวิตแต่งงานมีความสุข
การวิจัยที่มหาวิทยาลัยแห่งมิเนโซต้า พบว่าเรามักจะมีน้ำหนักเพิ่มเฉลี่ยประมาณ 2.5 กิโลกรัม ภายใน 2 ปีหลังจากแต่งงาน เหตุผลก็คือ คู่แต่งงานใหม่จะเลือกทานอาหารที่คล้ายคลึงกันมากขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิงมักจะหันไปทานตามอย่างสามี จากที่เมื่อโสด คุณอาจจะอดบางมื้อ หรือทานสลัดเป็นอาหารเย็น แต่เมื่อแต่งงานคุณมีแนวโน้มว่าจะเลือกชนิดอาหารน้อยลง แต่ทานปริมาณเยอะขึ้น อย่างนี้ก็แย่สิ !
Solution : ควรจะจูจุ๊บสัญญากันว่าจะชวนกันทานอาหารที่เบาขึ้น ดีต่อสุขภาพมากขึ้น อย่างน้อยสัก 2 - 3 มื้อต่อสัปดาห์ เวลาว่างก็เกี่ยวก้อยกันไปออกกำลังกาย เพื่อควบคุมน้ำหนัก ซึ่งนอกจากรูปร่าง และสุขภาพที่เป็นผลดีแล้ว ยังมีการยืนยันว่า คู่แต่งงานที่ออกกำลังกายด้วยกันถึง 95% หย่าร้างกันน้อยกว่าที่แยกกันทำกิจกรรมเลยทีเดียว

ต้นเหตุที่ 3 : ความเครียด 7 ชั่วโมงต่อวัน
คิดว่างานยุ่ง ๆ จะช่วยเผาผลาญแคลอรี่มากขึ้นใช่ไหมคะ ผิดค่ะ ที่จริงความเครียดจะเพิ่มการสร้างฮอร์โมนในร่างกายชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า คอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งจะส่งสัญญาณให้ร่างกายรักษาน้ำหนักให้คงที่แถมยังฝากไขมันไว้ในช่องท้องมากขึ้นอีกด้วย (ไขมันหน้าท้องเป็นชนิดทีขจัดยากที่สุด และยังเกี่ยวพันไปถึงโรคเบาหวาน คอเลสเตอรอลสูง และปัญหาสุขภาพอื่นๆ) ถ้านี่ยังร้ายไม่พอ คอร์ติซอลยังทำให้คุณเจริญอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่หวาน มีไขมันสูง และเป็นศัตรูกับความผอมการปล่อยตัวเองให้เครียดจึงทำให้เราทานของว่างบ่อยเกินไป และทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น
Solution : อันดับแรกคือขจัดต้นตอความเครียด อย่าคิดว่าตัวเองทำทุกอย่างได้ ปล่อยๆ มันบ้าง เมื่อรู้สึกตึงๆ หลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความเครียด ก็ให้เวลาตัวเองเคลียร์สมอง เดินเล่นสัก 5 นาที จุดเทียนกลิ่นลาเวนเดอร์ วานิลลา หรือพักผ่อนทางใจแบบง่ายๆ โดยปิดตา หายใจเข้าลึกๆ จินตนาการถึงภาพวิวสวยๆ สัก 10 นาที ทำแบบนี้จะช่วยลดคอร์ติซอล ขจัดชนวนความอยากอาหาร โดยเฉพาะอะไรที่หวานๆ อย่างที่ชอบทานกันอยู่

ต้นเหตุที่ 4 : เที่ยวกับแฟน
คิดว่าตัวเองน่ะดีจะตาย เพราะดื่มเฉพาะวันที่ไปเที่ยวกับแฟนเท่านั้น แต่ถ้าคุณออกเที่ยวกันบ่อยเกินไป ไขมันก็มาพอกพูนที่รอบเอวอยู่ดีค่ะ แม้ว่าเราจะยังไม่เข้าใจกลไกที่แน่นอน แต่จากการวิจัยก็พบว่าคนที่ดื่มเกิน 4 แก้วต่อคราว แม้ว่าจะเที่ยวเพียงอาทิตย์ละ 1 ครั้ง จะมีไขมันหน้าท้องมากกว่าคนที่เที่ยวบ่อยแต่ดื่มปริมาณน้อยกว่า
Solution : เพลาๆ การดื่มลงบ้าง ดีที่สุดคือแค่ 1 แก้วหรือน้อยกว่านั้น แต่ถ้าคุณต้องการดื่มมากกว่า 1 แก้ว ให้เลือกดื่มไวน์ ซึ่งมีรายงานหลายชิ้นสนับสนุนว่า คนที่ดื่มไวน์เสี่ยงจะมีหน้าท้องยื่นน้อยกว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทอื่น

ต้นเหตุที่ 5 : ลมหนาว
ลมหนาวพัดมาทีนอกจากจะได้งัดเสื้อหนาวตัวเก่งมาใส่อวดกันแล้วสาว ๆ จำนวนมากจะมีความสุขกับการบริโภค ทำให้เราจะได้รับแคลอรีเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 1,000 – 1,500 แคลอรีต่อวันในช่วงนี้ ในทางตรงข้ามคนที่มักจะซึมเศร้าอยู่แล้วก็จะยิ่งใช้พลังงานน้อยลง เศร้า หงุดหงิดง่าย หรือรู้สึกเหนื่อยล้าตลอดฤดูเหมือนกัน ซึ่งอธิบายได้ว่าเป็นเพราะช่วงกลางวันที่สั้นลงนำไปสู่การลดระดับของสารเซอโรโทนิน และโดพามินในสมอง เป็นเหตุให้รู้สึกเฉื่อยชา แต่กระตุ้นให้เราอยากทานอาหารจำพวกแป้ง หรือขนมหวาน
Solution : เดินผึ่งแดดตอนช่วงกลางวันประมาณ 15 - 30 นาที จะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นการออกกำลังกายก็จะช่วยให้กระฉับกระเฉงเช่นเดียวกันและยังช่วยเผาผลาญแคลอรีที่เพิ่มขึ้นมา แต่ถ้า 2 สัปดาห์ แล้วคุณยังรู้สึกหดหู่อยู่ อย่างนี้เรียกว่าเป็นปัญหาใหญ่แล้วล่ะค่ะ ควรไปปรึกษาแพทย์ ท้ายที่สุดอย่าให้ลมหนาวล่อลวงถุงขนมเข้ามาในบ้านของคุณ ชิงซื้อผลไม้ ผัก หรือธัญพืชเข้ามาก่อนจะดีที่สุด

ต้นเหตุที่ 6 : ไม่ยอมนอน
การวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโก พบว่าหากนอนน้อยเกินไปจะส่งผลให้ระบบเมตาบอลิซึมแปรปรวน จึงง่ายสำหรับไขมันตัวร้ายที่จะดอดเข้ามายึดครองร่างกาย การอดนอนยังนำไปสู่สภาพที่ร่างกายไม่ได้ใช้น้ำตาลในเลือดอย่างสมควร จึงทำให้เราเสี่ยงต่อโรคเบาหวานมากขึ้น และยังลดระดับของเลปติน (ฮอร์โมนซึ่งเป็นกุญแจสำคัญให้คุณรู้สึกอิ่ม) และไม่ใช่จะมีปัญหากับเฉพาะคนที่นอนไม่หลับ ปัญหานี้ยังเกิดขึ้นกับคนที่นอนน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อคืนด้วย
Solution : อย่าอดนอน ผู้หญิงเราควรนอน 7 - 8 ชั่วโมงต่อคืน และหากกำลังประสบปัญหานี้อยู่ให้ลองตั้งเวลาตื่นเท่ากันทุกวัน และเข้านอนเร็วขึ้น 15 นาที ทุกๆ สัปดาห์ ร่างกายจะค่อยๆ ปรับตัวจนอยู่กับร่องกับรอยมากขึ้น

ถ้าบ้านทำให้คุณอ้วน
เชื่อมั๊ย ! สิ่งแวดล้อมในบ้านก็ทำให้รอบเอวคุณขยายได้ ลองดูวิธีนี้ว่าจะช่วยคุณได้รึเปล่า
ปรับแสงไฟภายในบ้าน
งานวิจัยพบว่าคนอ้วนจะทานอาหารมากขึ้นในห้องที่มีแสงจ้ามากกว่าแสงสลัว เพราะแสงสว่างๆ ทำให้เรารู้สึกตื่นตัว จึงทำให้กินเร็วขึ้น และได้รับแคลอรีเพิ่มขึ้น และในทางตรงกันข้ามคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักก็มีแนวโน้มที่จะกินอาหารมากขึ้นแม้จะอยู่ในแสงที่หรี่ลงเพราะลืมตัว ฉะนั้นปรับแสงไฟในบ้านให้พอดี ๆ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
เก็บอาหารให้ห่างสายตา
อาหารยิ่งอยู่ใกล้ ก็ดูเหมือนเราจะกินมันมากขึ้นเท่านั้น อาหารที่เก็บอยู่ในชั้นที่ต่ำกว่าในตู้เก็บของจะถูกกินบ่อยกว่าอาหารบนชั้นสูงๆ และระหว่างอาหารจานเดียวกับการทำกับข้าวทานด้วยกันก็ดูเหมือนว่าอย่างหลังจะทำให้เราเติมข้าวมากกว่า 1 จาน
ปิดวิทยุ
เราจะรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยขึ้นถ้าฟังดนตรี และนั่งที่โต๊ะอาหารนานขึ้น โทรทัศน์ก็ให้ผลแบบเดียวกัน

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

พริกลดความอ้วนได้จริงหรือ?

จากการศึกษาพบว่า Capsaicin เป็นสารในพริกที่ให้รสเผ็ดร้อน ดังนั้นจึงมีผู้นำพริก หรือสารสกัดจากพริกมาใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก โดยมักจะกล่าวอ้างว่า Capsaicin ในพริกช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหารและลดความอยากอาหาร จากการศึกษาในคนพบว่า อาหารรสเผ็ดที่มี Capsaicin อาจช่วยลดปริมาณอาหารที่รับประทานได้ประมาณ 200 กิโลแคลอรี่
อย่างไรก็ดี พบว่าการรับประทานอาหารรสเผ็ดไม่มีผลเปลี่ยนแปลงการใช้ออกซิเจน การใช้ไขมันของร่างกาย หรืออุณหภูมิของร่างกาย และยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการสนับสนุนการใช้ Capsaisin เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะมีผลเพิ่มการเผาผลาญพลังงานของร่างกายได้ และทางการแพทย์ยังไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจนอีกด้วย
พิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจหรือบริโภคนะคะ

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

ลดน้ำหนักด้วย "เส้นบุก"

รู้จัก "เส้นบุก" อาหารพลังงานต่ำ ลดน้ำหนัก
ภาษาอังกฤษ เรียก คอนยัก (Konjac) เป็นต้นไม้ประเภท Amorphohpallus ลำต้นนำมาทำแกงส้ม หรือลวกจิ้มน้ำพริก เอาหัวบุกมาฝานเป็นแว่น ปิ้งหรือย่างไฟเป็นขนมบุก ซึ่งจะมีรสหวาน ในประเทศไทยมีบุกไข่ (A.muelleri Blume) และบุกคางคก (Apacolifilus Nicolson) ส่วน Konjac เป็นบุกลูกพระอาทิตย์ หรือ White spot arum.
บุก เป็นพืชพื้นเมืองของไทยมักขึ้นในที่ชื้น ลำต้นมีลายขาว ๆ มีหนามเล็ก ๆ มียางซึ่งหากถูกแล้วจะคัน หัวบุกมีขนาดใหญ่ เนื้อมีสีขาวอมเหลือง ละเอียดเป็นเมือกลื่น เรากินบุกกันทั้งใบและหัว หัวบุกมีแป้งประมาณร้อยละ 67 มีโปรตีนร้อยละ 5-6 สารแป้งที่อยู่ในหัวบุกเรียกว่า แมนแนน (mannan) เมื่อสารนี้ถูกทำให้แตกตัว จะได้กลูโคสกับแมนโนส หรือที่เรียกกันว่า กลูโคแมนแนน (glucomannan) ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นเส้นใยอาหาร (Dietary Fibre) ที่ละลายน้ำได้
ประโยชน์ของบุก
ในประเทศไทยได้นำมารับประทานในชีวิตประจำวันมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยนำยอดอ่อนมาจิ้มน้ำพริกและ ส่วนหัวมาประกอบอาหารคาว หวาน ต่างๆ และในญี่ปุ่นเองก็มีการนำหัวบุก (คอนยัคคุ) ไปแปรรูปเป็นแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบผง , ก้อน , เส้น และนำมารับประทานอาหารประจำวัน เช่น โอเด้ง ,สุกี้ยากี้ ฯลฯ มาเป็นเวลากว่าหนึ่งพันปีแล้ว (มีหลักฐานปรากฏตั้งแต่สมัยเอโดะ) โดยหัวบุกจะเจริญเติบโตได้ดีในแถบเอเชียเขตร้อนและอบอุ่น เช่น จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ คนไทยนำหัวบุกมาทำอาหารหลายอย่างทั้งของคาว และของหวาน แต่ต้องต้มในน้ำเดือดเสียก่อน เพื่อไม่ให้เป็นเมือก ก้านของใบอ่อนที่ยังไม่คลี่ เมื่อลอกเอาเยื่อออกแล้วใช้ต้มจิ้มน้ำพริก หรือนำมาแกงได้ เส้นชิราตากิที่ใส่ในสุกี้ยากี้ญี่ปุ่นก็ทำมาจากแป้งหัวบุก แต่ญี่ปุ่นเรียกแป้งนี้ว่า คอนนิยักกุ (konnyaku)
สารกลูโคแมนแนนที่ได้จากหัวบุก จะมีเส้นใยอาหารประเภทละลายน้ำได้สูง มีพลังงานต่ำ ช่วยในการลดไขมันและควบคุมน้ำหนักตัว อีกทั้งยังช่วยระบบขับถ่าย ทำให้ ไม่เกิดอาการ ท้องผูก ป้องกันการเกิดเชื้อมะเร็งในลำไส้ใหญ่ และด้วยคุณสมบัติของ สารกลูโคแมนแนน ที่ ช่วยดูดซับและเปลี่ยนถ่ายสิ่งแปลกปลอมที่อาจเป็นพิษ, ลดการดูดซึมของน้ำตาลกลูโคสในระบบทางเดินอาหารบางส่วน และโคเรสเตอรอลออกจากร่างกาย จึงช่วยลดโอกาสของการเป็นโรคเบาหวาน , เส้นเลือดหัวใจ ตีบตัน ฯลฯ ได้ด้วยค่ะ

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

6 อาหาร ต้านหิวบ่อย

เราเคยสังเกตไหมคะ? ว่าทำไมเราถึงรู้สึกหิวบ่อยๆ เกร็ดความรู้ดีๆ จากหนังสือชีวจิตพูดถึงสาเหตุว่าเกิดจากอะไร เพื่อเราจะได้เอามาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของเราสักนิดเพื่อสุขภาพที่ดีนะคะ
เมื่อเรากินอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลมาก ร่างกายจะผลิตอินซูลินออกมามากเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และเมื่อระดับน้ำตาลลดลงอย่างรวดเร็ว ก็รู้สึกอยากกินโน่นกินนี่ขึ้นมาอีก วันนี้ขอแนะนำอาหารที่อุดมด้วยแร่ธาตุและวิตามินที่จะมาช่วยลดพฤติกรรมเหล่านี้กันค่ะ
1.ข้าวกล้องและธัญพืชไม่ขัดขาว อุดมไปด้วยโครเมียมที่ช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ มีแมกนีเซียมที่ช่วยปรับระบบอินซูลินแถมด้วยวิตามินบีที่จำเป็นต่อระบบเมทาบอลิซึม
2.อาหารทะเล ลองหันมากินปลา หอย ปลาเล็กปลาน้อยที่มีซีลีเนียม แมกนีเซียม แคลเซียม และสังกะสี แร่ธาตุเหล่านี้ช่วยรักษาสมดุลของสารสื่อประสาท ทำให้ไม่หิวบ่อย
3.ถั่ว ของกินเล่นช่วยให้อารมณ์ดีที่อุดมด้วยวิตามินบีและ แมกนีเซียม ช่วยในการปรับระดับอินซูลิน และช่วยการทำงานของระบบประสาท
4.แอ๊ปเปิ้ล มีเส้นใยอาหารมาก ทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้และชนิดที่ไม่ละลายน้ำ กินแล้วอยู่ท้อง รสชาติไม่หวานจัดและเป็นผลไม้ที่ดีต่อร่างกายทุกส่วน
5.ลูกพรุน อุดมด้วยโครเมียม กินครั้งละน้อยๆจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้
6.ลูกเกด กินเป็นของว่าง ทำให้ไม่คิดถึงขนมขบเคี้ยว ลูกเกดมีแมงกานีสที่ช่วยในกระบวนการเผาผลาญพลังงาน ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ ช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอย่างช้าๆทำให้ไม่หิวบ่อย
อาหารที่เค้าบอกมาก็เป็นอาหารที่หาได้ไม่ยากนักนะคะ ลองหาอาหารเหล่านี้มาทานดูนะคะดีต่อสุขภาพค่ะ

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

เรื่องผิดพลาดเกี่ยวกับการลดน้ำหนัก

ถ้าคุณกำลังลดน้ำหนักอยู่ สงสัยจังทำไมไขมันไม่ยอมยุบตัวซะที มีอะไร พลาดไปหรือเปล่าเนี่ย
1. คุมอาหารแต่ไม่ออกกำลังกาย การอดอาหารเพียงอย่างเดียว จะทำให้คุณผอมเพรียวได้แต่ไม่ฟิตแน่ค่ะ และซ้ำร้าย ถ้าคุณอดมาก ๆ อาจทำให้เกิดโรคขาดอาหารอีกด้วยค่ะ การจะลดน้ำหนักได้ผลนั้น คุณควรใช้วิธีคุมอาหารควบคู่กับการออกกำลังกายเพราะการออกกำลังกาย จะเร่งกระบวนการเผาผลาญอาหารทำให้ร่างกายนำไขมันออกมาใช้มากขึ้น
2. ลดไขมันแต่หนักแป้งการกลัวอ้วน อาจทำให้คุณเลิกทานไขมัน แต่ร่างกายต้องการพลังงานอื่นมาทดแทน ทำให้คุณต้องชดเชยด้วยอาหารหมวดแป้งและน้ำตาล ซึ่งอาหารกลุ่มนี้ก็ทำให้อ้วนได้เช่นกันจริง ๆ แล้ว คุณไม่ควรงดอาหารประเภทไขมัน เพราะอาหารกลุ่มนี้ ร่างกายจำเป็นต้องใช้ แต่ควรจำกัดปริมาณการกินไม่ให้เกิน 20 % จะดีกว่า
3. ปล่อยให้หิวโซ การปล่อยให้ท้องว่างในระหว่างมื้อ ร่างกายย่อมกระตุ้นเตือนว่าคุณได้รับพลังงานไม่เพียงพอ ซึ่งในที่สุดเมื่อหิวจัดคุณก็ต้องทดแทนด้วยอาหารมื้อโต ในมื้อถัดไป ทำให้คุณคุมน้ำหนักไม่ได้ ทางออกที่ดีก็คือ ควรรับประทานเมื่อหิวอย่าไปต่อต้านร่างกายมากนัก แต่อาจเลือกรับประทานอาหารแคลอรี่ต่ำในระหว่างมื้อแทน
4. เบรคแตกในวันหยุด ถ้าคุณคุมน้ำหนักแบบเข้มงวดมาตลอดสัปดาห์ แต่มาเบรคแตกในวันหยุด เพราะคุณมีเวลาว่างมากขึ้น ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณลดน้ำหนักตัวลงไม่ได้ วิธีแก้ก็คือ ในวันหยุดแทนที่จะนอนแกร่วเหมือนเจ้าเหมียว พาตัวเองไปเดินเล่นวิ่ง หรือหากิจกรรมอะไรทำ ก็จะช่วยให้คุณได้ใช้พลังงานมากขึ้น
5. แก้เซ็งด้วยอาหาร สาว ๆ หลายคน ในยามที่รู้สึกหงุดหงิด ซึมเซ็ง หรือเหนื่อยล้ามักชดเชยอารมณ์บูดเหล่านั้น ด้วยอาหารแคลอรี่สูง เช่น ลืมตัวคว้าช็อกโกแลตเข้าปากแบบไม่ยั้ง แล้วตามด้วยน้ำอัดลมแช่เย็นสักกระป๋อง ซึ่งอาจทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น แต่บ่อยนักน้ำหนักก็ขึ้นพรวดพราดได้เหมือนกัน ควรชดเชยอารมณ์เสียเหนื่อยล้าด้วยอาหารไขมันต่ำ อย่างน้ำแก้วโต 1 แก้ว หรือ โยเกิร์ตพร่องมันเนย ก็ทำให้คุณสดชื่นได้ หรือไม่ก็คว้ารองเท้าคู่ใจมาสวม ออกไปเดินเล่นสักพัก ก็ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายลืมเรื่องทุกข์ใจไปได้ โดยไม่กระทบกับน้ำหนักตัวค่ะ

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

อาหารแฝงที่ทำให้อ้วน

หลายๆคนอาจจะบอกว่า ตัวเองไม่ได้กินพวกของมันๆ กินแต่ผักและผลไม้ และอาหารแคลอรีต่ำๆ ทำไมหนอ ยังอ้วนอยู่อีก พอถามไปลึกๆกลับพบว่า คนเหล่านี้ยังชอบอาหารพวกขนมขบเคี้ยว กินอาหารว่างบ่อยๆ หรือชอบนะละที่จะกินขนมหวานหรือ ไอศกรีม ยังไม่พอ น้ำเปล่าไม่เคยสน ล่อแต่น้ำอัดลม หรือ ไป Drink แอลกอฮอล์บ่อยมาก พวกเหล่านี้แหละครับที่เรียกว่า อาหารแฝงที่ทำให้อ้วน
ใครชอบขนมขบเคี้ยวที่เป็นซองๆ ชอบมากที่จะกินไปดู TV ไป หรืออย่างตอนนี้บอลโลก เชียร์อังกฤษ บราซิล (ตกรอบหมดแล้ว) ต้องมีขนมขบเคี้ยวโดยเฉพาะพวกมันฝรั่งทอดนี้ชอบสุดๆ เผลอๆ กินเพลินกว่าจะจบการแข่งขันล่อไป 2-3 ซองใหญ่ๆ คุณรู้เปล่าว่า ของพวกนี้บางที มีแคลอรีมาก อย่าง มันฝรั่งทอดกรอบ 100 กรัม ปาเข้าไป 560 Cal หรืออย่าง เมล็ดมะม่วงหิมพานต์คั่ว 100 กรัม ก็ ล่อไป 597 Cal ใครชอบเมล็ดอัลมอนต์คั่ว พึงสำเหนียกว่า 100 กรัม ก็ 627 Cal หรืออยากหุ่นดีเพราะชอกโกแลต จะบอกให้ว่า 100 กรัม ปาเข้าไป 528 Cal ใครกิน 3 ซอง ก็เข้า 3 คูณแล้วกัน เห็น Cal แล้วหลายๆคนคงพากันสลบ เพราะกินเข้าไปเป็นพัน นี้เฉพาะอาหารว่างนะนี้นะ
มาดูพวกชอบสวาปามอาหาร fast food บ้าง อันนี้หลายๆคนน่าจะรู้ว่าเป็นตัวมหันตภัยของความอ้วนจริงๆ เพราะแค่ แฮมเบอร์เกอร์ไก่ ขนาด 147 กรัมก็ปาเข้าไป 450 Cal หรือแฮมเบอร์เกอร์เนื้อ 150 กรัม ก็ 385 Cal ใครไปกินพิซซ่าบ่อยพึงสังวรเถิดว่าเจ้านี้แหละที่เป็นตัวสร้างพุงดีที่สุด เพราะว่า ขนาด 375 กรัม Cal พุ่งกระฉูดถึง 876 Cal
มาดูไอติมที่หลายๆคนบอกว่าไม่น่าจะมี Cal เท่าไรมั้ง 100 กรัมก็ปาเข้าไปเนาะๆ 176 Cal หรืออย่างพวกขนมหวาน ลูกกวาด 100 กรัม ก็ 314 Cal แยมสตอร์เบอร์รี่ก็ 100 กรัม 264 Cal บางคนบอกว่าดูไปไม่เห็น Cal เยอะ แต่อย่าลืมว่าพวกนี้คุณไม่ได้กินเป็นอาหรหลักแน่ๆ แต่กินเป็นของหวานหลังจานหลัก
ส่วนใครบางคนลดน้ำหนักได้เพราะเลิกดื่มน้ำอัดลม เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เพราะว่า หากใครชอบกินน้ำอัดลมแทนน้ำเปล่าแล้วสามารถเลิกได้ หมายถึงว่าคุณสามารถลด Cal ในแต่ละวันได้ถึง 600-800 Cal เลยทีเดียวเชียว แล้วบางคนนะ อุตส่าห์อดอาหาร แต่ชอบเที่ยวกลางคืน ก็ไม่ต้องห่วงค่ะ ทั้งแอลกอฮอล์ แล้วพวกของแกล้มที่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกของทอดน้ำมัน หรือเนื้อสัตว์ที่มันเยิ้มๆ จะไม่อ้วนได้ไงจริงไหม นอกเสียจากว่า ไปเที่ยวจะกินน้ำเปล่ากับอาหารชีวจิต ซึ่งเชื่อว่าคงไม่มีใครทำ อ้อ ขอบอกหน่อยว่า เบียร์นะค่ะ 1 ขวดใหญ่ ก็ประมาณ 320 Cal พวกคอแข็งๆ ล่อไป 3-5 ขวดก็รับ Cal ไป 960-1600 Cal นี้เฉพาะเบียร์นะ ยังไม่รวมกับแกล้ม
มาถึงตรงนี้คงบางอ้อหลายคนว่า ถึงลดอาหารหลักกินเท่าแมวดม แต่กินของว่างเพลินๆก็อ้วนได้เหมือนกัน

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

9 วิธีหนีอ้วน

อยากผอมทำยังไงดีคะ? แน่นอนว่าถ้าสาวๆ ไม่เลือกอดอาหารยอมหิวจนตาลายก็ต้องโหมออกกำลังอย่างหนักเหลือทน แต่วันนี้เรามีทางเลือกให้คุณผอมหุ่นเพียวสวยด้วยวิธีง่ายๆ มาเสริฟถึงที่ค่ะ ที่สำคัญไม่ต้องอดอาหารและไม่จำเป็นต้องโหมออกกำลังกายค่ะ แค่เปลี่ยนพฤติกรรมแสนง่าย 9 อย่างเท่านั้นเองค่ะ
1. นอนหลับให้เต็มอิ่ม
จากการวิจัยของสถาบัน Howard Hughes Medical มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด พบว่ายิ่งคุณนอนน้อยเท่าใด ร่างกายของคุณก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งผลิตฮอร์โมน leptin ได้น้อยลงเท่านั้น ซึ่งนั่นก็จะมีผลต่อน้ำหนักตัว เนื่องจาก leptin จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นน้ำหนักให้ลดลงได้ถึง 2 ทาง คือ มันจะช่วยลดความอยากในการรับประทานได้ โดยการบอกสมองว่า “นี่! หยุดเคี้ยวซักทีเถอะ อิ่มจนท้องจะแตกอยู่แล้วนะ” และอีกด้านหนึ่งมันก็จะกระตุ้นให้คุณใช้พลังงานมากขึ้นซะอีกด้วย ยิ่งกว่านั้นยังเห็นได้ชัดอีกว่าเมื่อเรานอนน้อยร่างกายก็จะไปต้านการลดลงของน้ำหนัก จากการที่ ghrelin ฮอร์โมนซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นความอยากอาหาร จะมีปริมาณสูงกว่าในบรรดาผู้ที่นอนไม่พอ (แต่ถ้าเกิดคุณนอนไม่พอในคืนหนึ่ง ลองพยายามงีบหลับให้ได้ในวันต่อมา เพราะฮอร์โมนจะไปทำให้คุณต้องปิดตาหลับภายใน 24 ชั่วโมงแน่นอน)
2. ปิดวิทยุซะ
คุณรู้มั้ยว่าเวลาตามร้านอาหารต่างๆ ถ้าเขาอยากจะให้ลูกค้าภายในร้านจัดการกับอาหารตรงหน้าให้เสร็จเรียบร้อยแล้วก็รีบออกจากร้านไปโดยเร็วนั้น ทางร้านก็จะเปิดเพลงจังหวะเร็ว (ประมาณ 120-130 จังหวะต่อนาที) ซึ่งหากมองอีกมุมหนึ่งถือว่าเป็นเหตุผลที่ดีนะคะ เพราะว่าจังหวะเพลงที่เร็วนี้จะทำให้คุณใส่ใจกับการรับประทานอาหารตรงหน้ามากขึ้นค่ะ ฉะนั้นก่อนมื้ออาหารถ้าอยากผอมจงเลือกเอาว่าจะปิดวิทยุของคุณซะ หรือจะบรรเลงใส่แผ่นเพลงเบาๆ ใส่เครื่องเสียงของคุณระหว่างทานอาหารมื้ออร่อย
3. กินให้ครบทุกมื้อ
ข้อนี้สำหรับสาวๆ ที่ชอบอดอาหารมื้อเช้าเพื่อความผอม เพราะเชื่อเถอะค่ะว่าไม่มีประโยชน์หรอก ซ้ำยังทำให้คุณอ้วนขึ้นอีกด้วย ซึ่งก็ไม่แปลกหรอกนะในเมื่อเช้าคุณไม่ได้ทานอะไรด้วยเหตุอยากผอม แต่กลายเป็นว่าตกกลางวันคุณกลับหิวไส้แทบขาด ฉะนั้นไม่ว่าอะไรที่คุณหยิบจับขึ้นมาได้ ก็ขนใส่ปากไปไม่บันยะบันยังซะหมด ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากเหตุผลหลายๆ อย่าง อาทิ เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลง คุณก็จะรู้สึกโหยหาอาหารอย่างแรง ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายค่ะ และด้วยกลไกทางด้านความรู้สึกนึกคิด เมื่อคุณไม่ได้ทานอาหารมื้อเช้า มื้อถัดมาคุณก็จะทานมากขึ้น เพราะคิดว่า “เอาเถอะน่าเมื่อเช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ชดเชยซะหน่อยแล้วกัน” ที่สำคัญร่างกายของคุณก็จะยิ่งคิดว่าตอนนี้คุณอยู่ในภาวะขาดอาหาร ฉะนั้นระบบเมตาโบลิซึมของคุณจะค่อยๆ ทำงานช้าลง นั่นแปลว่าการเผาผลาญพลังงานก็จะต่ำลงไปด้วย เข้าใจง่ายๆ ก็ “คราวนี้แหละคุณขา อ้วนแน่ๆ”
4. อย่าเอะอะอะไรก็ใช้รถๆ หัดเดินซะบ้าง
อย่าปฏิเสธว่าข้อนี้ไม่จริงเลย เพราะการใช้รถในแต่ละวันจะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้ถึง 6% ต่อชั่วโมง แต่ในทางกลับกันทุกๆ ไมล์ในการเดินของคุณในแต่ละวันจะกลับเป็นการลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนได้ถึง 8 % แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ ง่ายๆ ค่ะ เวลาคุณคุยโทรศัพท์เม้าส์กับเพื่อนสาวเรื่องยัยเพื่อนร่วมงานตัวแสบเนี่ยช่วยได้นะ แค่คุยไปคุยมาแล้วเดินวนรอบห้องเผลอแป๊ปเดียวก็เดินเป็นกิโลๆ แล้วล่ะยิ่งถ้าเราจะขว้างแคลอรี่ไปไกลๆ จากเราจริงๆ ล่ะก็ เวลาดูทีวีพอถึงช่วงเบรคโฆษณาก็ลุกขึ้นย้ายตัวเองไปรอบๆ บ้าง หรือไม่ก็ลองขึ้นๆ ลงๆ บันไดบ้านนี่ล่ะดู ผลัดกับการเดินเร็วๆ จากห้องหนึ่งไปยังห้องหนึ่งในบ้านดูสิ หรือเด็ดสุดก็อีตอนช้อปปิ้งนี่แหละ เซย์โนลิฟท์และบันไดเลื่อนสิคะ รับรองผอมค่ะ

5. แค่โดนแดดบ้างก็ผอมแล้ว
อย่างงค่ะ คุณคงไม่รู้มาก่อนว่าแสงแดดทำให้ผอมได้ เพราะร่างกายของเราต้องการแสงแดดเหมือนกัน เพื่อไปผลิตฮอร์โมน serotonin ซึ่งมีส่วนในการไปช่วยลดความอยากน้ำตาลและอาหารอย่างอื่นด้วย ดังนั้นเมื่อคุณเริ่มที่จะอยากทานพวกขนุกขนมก็เดินออกไปรับแดดแทนแล้วกัน อืม...แล้วแม้แต่ช่วงอากาศเย็นๆ ก็เถอะหากเปิดผ้าม่าน บานเกล็ด ระหว่างวันซะบ้างก็ยังดีนะ (แต่อย่าอยากขนมมากทั้งวันนะ ไม่งั้นคงต้องไปตากแดดจนมะเร็งผิวหนังถามหาแน่ๆ )
6. อย่าเก็บคุ๊กกี้หรืออาหารอย่างอื่นไว้ในโถแก้ว
เพราะถ้าคุณเก็บอาหารไว้ในที่ๆ ไกลสายตาหน่อย มันก็ง่ายที่จะป้องกันไม่ให้ของอ้วนๆ มาเย้ายวนเรา ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยคอร์แนลได้แนะว่าสาวๆ จะกินของหวานได้มากขึ้นเมื่อเห็นมันจัดวางอยู่บนโต๊ะเด่นชัดสวยงาม ดังนั้นมาลองเก็บของหวานทั้งหลายไว้ในภาชนะทึบแสงหรือไปวางไว้ไกลๆ ตาไกลๆ จมูกจะดีกว่านะคะ
7. วางส้อมลงทุกครั้งที่เคี้ยว
ช่วงเวลา 20 นาที เป็นเวลาที่กระเพาะอาหารจะส่งสัญญาณไปบอกสมองว่าอิ่มแล้ว ดังนั้นเมื่อคุณทานอาหารเร็วเกินไป ร่างกายของคุณก็จะไม่มีเวลาพอที่จะรับรู้ได้ว่าถึงเวลาที่ควรอิ่ม ผลที่ตามมาก็คือคุณทานมากไป การทานช้าลงเท่านั้นค่ะที่ช่วยได้ คุณอาจจะใช้ตะเกียบมาเป็นตัวช่วยในการทานอาหารก็ได้ จะทำให้คุณทานอาหารได้ช้าลง (ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะมัวแต่สาละวนอยู่กับการใช้ตะเกียบให้ถนัดมือ) หรือลองอีกวิธีที่จะทำให้คุณรับรู้ได้ถึงรสอร่อยของอาหารมากขึ้น โดยเคี้ยวแต่ละคำให้ได้เวลาราว 30 วินาที แค่นี้คุณก็จะเห็นได้เลยว่าการทานอาหารช้าๆ ทำให้รับรู้ถึงรสชาติอาหารดีขึ้นและผอมค่ะ
8. เปิดไฟทานอาหาร
ในห้องที่มืดสลัว จะทำให้คุณทานได้มากขึ้น ทำไมน่ะเหรอ คำตอบอยู่ที่ทฤษฎีหนึ่งที่กล่าวไว้ว่าแสงไฟมืดสลัว จะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและเพลิดเพลินกับการรับประทานมากขึ้น ในทางกลับกันมีการวิจัยว่าเมื่อคุณทานอาหารในห้องที่สว่าง ก็ดูเหมือนว่าคุณจะทานอาหารได้ลดลง
9. แค่โกรธก็อ้วนแล้ว
ถ้าคุณไม่รู้จักระงับอารมณ์คุณก็มีสิทธิ์อ้วนได้ ยังไงน่ะเหรอ ก็เวลาที่คุณเกิดอารมณ์โกรธขึ้นมา ระดับของฮอร์โมน cortisol ในร่างกายก็จะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ จากผลงานวิจัยพบว่าเมื่อคนเราโกรธ และหากยิ่งโกรธถี่ขึ้นเท่าไหร่ นั่นก็ดูเหมือนว่าจะเป็นการเพิ่มน้ำหนักและรอบเอวหนาๆ ในทางอ้อม (แถมยังเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อปัญหาของระบบหัวใจอีกต่างหาก) ดังนั้นคราวหน้าถ้าใครมายั่วอารมณ์คุณ ก็นับ 1-10 สูดหายใจลึกๆ ตั้งสติดีๆ แค่นั้นเอง นึกซะว่าเพื่อผอมๆๆๆ หรือใช้นิ้วโป้งนวดคลึงเบาๆ บริเวณขมับเพื่อการผ่อนคลายก็ได้ค่ะ

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

"นม" ลดความอ้วนได้

เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานานหลายสิบปี ว่า การรับประทานผลิตภัณฑ์จากนม จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น หรือลดลง ? วันนี้ มีคำตอบว่าข้อเท็จจริงนี้จะเป็นจริงหรือไม่และเพราะเหตุใด
ข้อเท็จจริงนี้อ้างอิงมาจากรายงานผลการวิจัย จากประเทศอเมริกา ซึ่งศูนย์วิจัยเนสท์เล่ได้นำ รายงานมาเป็นผลการวิจัยเกี่ยกวับความสัมพันธ์ ระหว่างการรับประทานผลิตภัณฑ์นม กับการลดน้ำหนัก ว่า ผลิตภัณฑ์นมช่วยลดน้ำหนัก และไขมันได้ เพราะนมจะมีส่วนช่วยควบคุมเมตาโบลิซึม หรือขบวนการ เผาผลาญของร่ายกายได้ดีกว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
ขณะทำการศึกษากว่า 24 สัปดาห์ พบว่าคนที่รับประทานอาหารที่นมเป็นส่วนประกอบ อย่าง นม โยเกิร์ต หรือเนยแข็ง ในปริมาณ 3-4 หน่วยบริโภคต่อวัน ลดน้ำหนักได้มากกว่า คนที่รับประทานอาหารที่ไม่มีนมเป็นส่วนประกอบ และสามารถลดลงได้ถึง 24 ปอนด์ ซึงเป็นน้ำหนักของไขมันที่อยู่ช่องท้อง ที่เกิดการเผาผลาญ และยังทำให้ลดความเสี่ยง การเกิดโรคเรื้อรัง เช่นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง
ซึ่ง มร. ไมเคิล ซีเมล ผู้นำการวิจัยครั้งนี้ อธิบายว่า "คนที่รับประทานผลิตภัณฑ์นม จำนวน 3 หน่วยบริโภคต่อวัน จะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ได้รับประทาน"
การศึกษาชิ้นนี้ ได้ตีพิมพ์ในวารสารโรคอ้วน ของประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะขณะที่ศึกษาอยู่เป็นช่วงที่โรคอ้วนกำลังระบาดในคนอเมริกัน โดยพบว่า ในปี 2000 คนอเมริกันเป็นโรคอ้วน ถึง 64% ซึ่งความเจ็บป่วยจากโรคอ้วนนี้เอง ทำให้กระทรวงสาธารณสุขของรัฐบาลอเมริกันต้องเสียค่าใช้จ่ายมากถึง 117 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ
และยังมีการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งที่ศึกษา ใน 90 ประเทศ ชี้ให้เห็นว่า การรับประทานผลิตภัณฑ์นม 3-4 หน่วยบริโภคต่อวัน มีผลโดยตรงทำให้น้ำหนักตัวลดลง ช่วยประหยัดเงินของรัฐได้มากถึง 200 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ ในช่วงเวลามากกว่า 5 ปี
อ๋อ ! ที่แท้ความจริงเป็นแบบนี้เอง เอาเป็นว่าเรามาดื่มนมทุกวันกันดีกว่าค่ะ เพื่อสุขภาพแถมได้ลดความอ้วนอีกต่างหาก

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

ออกกำลังกาย "ลดหน้าท้อง" ให้ฟิตเปรี๊ยะ

สัปดาห์นี้ เรามีท่าบริหารร่างกายที่จะทำให้รูปร่างของคุณแน่นกระชับ ฟิตเปรี๊ยะ คนขี้เกียจก็ทำได้ค่ะ เพราะมันเป็นท่านอนทั้งสิ้น โดยเริ่มจาก
1. นอนหงาย โดยยกหัวเข่าให้ตั้งชัน แล้วยกลำตัวท่อนบนขึ้นจากพื้น โดยวางมือลงบนขมับ หรือบนต้นขา สูดหายใจเข้าลึกๆ ก้มคอลง โน้มตัวไปข้างหน้าและก้มหน้าลงให้ต่ำที่สุด คล้ายกับท่าซิท-อัพ หายใจออกช้าๆ แล้วนับ 1-2 ค้างไว้ จากนั้นหันซ้าย-ขวา โดยก้ม หน้า และลำตัว ลงแบบเดิมสลับกัน แล้วกลับมาสู่ต่ำแหน่งเดิม ท่านี้จะทำให้คุณรู้สึกตึงที่ลำคอ
ดังนั้นให้คุณเริ่มจากการก้มคอในระดับที่สบายๆก่อน ในกรณีที่ คุณก้มคอไม่ลง ท่านี้ช่วยในการบริหาร กล้ามเนื้อคอให้มี ความยืดหยุ่น ลดหน้าท้อง และทำให้กล้ามเนื้อหน้าท้อง
แข็งแรงค่ะ

2. นอนคว่ำ วางข้อศอกให้ตั้งฉากกับลำตัว จากนั้นให้คุณยกลำตัวขึ้น โดยใช้ปลายเท้ายันพื้น คล้ายกับ ท่าวิดพื้น แต่แทนที่จะเป็นการ ใช้มือยันแขนขึ้น ให้คุณใช้ข้อศอกค้ำลำตัวไว้ ยกค้างไว้ 5-10 วินาที แล้วลดลำตัวลง จากนั้นเริ่มใหม่ค่ะ

3. นอนหงาย วางแขนลงกับพื้น ให้ห่างออกจากลำตัวเล็กน้อย ให้อยู่ในท่าที่สบาย จากนั้นให้ยกขาทั้งสองข้างขึ้นให้ได้ฉาก จนรู้สึกตึงขา และหน้าท้อง ยกค้างไว้ 5 วินาที แล้วเอาลง จากนั้นทำใหม่ แล้วยกค้างไว้ 10 วินาที
ทำเช่นนี้โดยให้เพิ่มเวลาขึ้นครั้งละ 5 วินาที จนครบ 90 วินาที ค่ะ เมื่อคุณทำท่านี้จนชำนาญ ให้คุณพยายามเหยียดขา ข้างหนึ่ง ให้มากๆ โดยพยายามให้ส้นเท้า ข้างที่เหยียดตึง ขึ้นไปตั้งอยู่บน ปลายเท้า ของขาอีกข้างหนึ่ง แล้วทิ้งค้างไว้จนคุณเมื่อย แล้วให้เปลี่ยนทำอีกข้างหนึ่งค่ะ

4. นอนหงาย วางแขนราบข้างลำตัว โดยให้แขนเท้า ลำตัวไว้ และยก หลังขึ้นให้ได้สูงที่สุด จนคุณรู้สึกเกร็งที่หลัง และหน้าท้อง จากนั้น ไขว้ข้อเท้า ระวังอย่าให้ลำตัวเอียงไปเอียงมา ยกค้างไว้ 10-15 วินาที เอาลง แล้วเริ่มใหม่โดยไขว้เท้าสลับกันค่ะ ท่านี้ลดอาการ ปวดเมื่อยตามหลัง และลำตัวได้ดี
กล้ามเนื้อที่หน้าท้องที่สำคัญมีอยู่ 3 ส่วน ได้แก่ กล้ามเนื้อชั้นล่างสุด ทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวพยุงร่างกายของคุณไว้ ส่วนที่สอง ชั้นกลาง ช่วยในการยืดหยุ่นร่างกายเวลาที่คุณหันตัวจากซ้ายไปขวา หรือ ขวาไปซ้าย หรือบิดตัว เอี้ยวตัว ส่วนที่สาม ชั้นบนสุดเป็น กล้ามเนื้อ ที่เป็นมัดๆ ดังนั้นเวลาบริหารร่างกายคุณควร บริหาร กล้ามเนื้อ ทั้งสามส่วนนี้ค่ะ
จำไว้ว่า การบริหารที่ดี ในการลดหน้าท้องนั้น ควรเป็นการ บริหาร ที่มีการขยับเขยื้อนส่วนล่างของร่างกาย ดังนั้นจึงไม่ ควรเลือก ท่าบริหาร ที่ทำให้เท้าของคุณต้องตรึงแน่น อยู่กับ พื้นเฉยๆ และขอให้คุณบริหารเป็นประจำทุกวัน อาจจะช่วง ก่อนนอน หรือตื่นเช้าก่อนทำกิจกรรมอื่นใดก็ได้ เพื่อหน้าท้องที่สวย ฟิตเปรี๊ยะค่ะ

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

10 ขั้นตอนเพื่อหุ่นสวย

อยากมีหุ่นดี ๆ ได้ไม่อยาก ไม่ต้องพึ่งยาลดความอ้วนให้เสียสุขภาพ
1. ลองเขียนเหตุผลบนกระดาษ มาสัก 3 ข้อซิ ว่าทำไม คุณถึงต้องการจะลดน้ำหนัก
หากว่าการลดน้ำหนัก มันสำคัญสำหรับคุณมาก คุณก็จะสามารถเขียนมันออกมาได้ ถ้าคุณยังยังไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม แสดงว่ามันยังไม่สำคัญกับคุณมากพอ คุณก็แค่จะลดไปงั้นแหละ ก็เผื่อว่าชั้นจะผอม ขอให้เขียนแบบจริงๆจังๆ และบอกถึงเป้าหมายให้ชัดเจน ไม่เอาแบบ "ข้อที่หนึ่ง ชั้นไม่อยากตัวอ้วนเป็นหมูแบบนี้" นี่เป็นการบอกสิ่งที่คุณไม่ต้องการ ลองเอาแบบ "ข้อที่หนี่ง ชั้นอยากมีหุ่นเลิศ เฉิดฉายในชุดสีดำ ตอนวันคริสมาสในปีนี้" อย่างงี้
2. เชื่อมั่นในตนเอง เชื่อในสิ่งที่คุณจะทำ
บ่อยแค่ไหนที่มัวแตชม คนอื่นที่เค้าลดน้ำหนักแล้วสำเร็จ มัวแต่ไปชื่นชมคนอื่น หรือความสำเร็จของเขา ให้คิดทันทีว่า "ชั้นอยากจะทำอย่างนั้นได้บ้างจัง เมื่อเค้าทำได้ชั้นก็ต้องทำได้สิ" เราก็คนอ่ะนะ ก็ต้องคิดแบบนี้กันมั่ง อย่ามัวแต่ไปอิจฉาคนอื่น มัวจำกัดความสามารถของตัวเองล่ะ รู้มั้ยว่า เรื่องง่ายๆแบบนี้ใครๆก็ทำได้ คุณก็ทำได้ ถ้ามีความตั้งใจและมีเป้าหมายที่แน่นอน
3. สังเกตตัวเอง ดูซิว่าอะไรที่ทำให้คุณกินแบบหยุดไม่อยู่
ถ้าเป็นสถานที่ เวลา อารมณ์ หรือคนที่อยู่ด้วยแล้วล่ะก็ ดูสิว่า มันเป็นที่ทำงาน ที่บ้าน ในวันหยุด ตอนกลางคืน ตอนอยู่กับใครหรืออยู่เหงาอยู่คนเดียว คิดแล้วก็ถามตัวเอง เพราะคำตอบก็อยู่ในคำถามนั่นแหล่ะ พอพบคำตอบแล้วก็อย่าลืมพยายามหลีกเลี่ยงมันซะ ก็พยายามยับยั้งชั่งใจ อย่าปล่อยปากไปกับสถานะการ พอถึงเวลาที่จะต้องอยู่ในสถานะการเหล่านั้น ให้ท่องเหตุผล 3 ข้อ (ที่ให้คุณเขียนไปแล้วตั้งแต่ข้อที่ 1) มาดังๆในใจ อาจจะช่วยลดอาการตามใจปากของคุณได้
4. ค่อยๆ เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน
คุณมีเวลาเกือบปีในการลดน้ำหนัก อย่าคิดว่า "โอ้ยเหลือเวลาตั้งมาก" แบบนี้ไม่เอา ถ้าให้คุณเลือกลดน้ำหนักภายใน 3 เดือนโดยการอดอาหารแบบทรมาณมากจนในที่สุดก็ต้องล้มเลิก หรือค่อยๆลดค่อยๆเป็นไปเอาสัก ให้ลดลงเดือนละ 1กิโล โดยการค่อยๆปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร แบบจริงๆจังๆ อันนี้จะทำให้เห็นผลดีที่สุด...ขอบอก ค่อยๆเปลี่ยนของในตู้เย็นเป็นของแบบ low fat แล้วผักผลไม้เข้าไปเยอะๆ ด้วย พวกขนมจุกจิกเนี่ยะ โละออกให้หมด หาอาหารเพื่อสุขภาพเข้ามาเพิ่มทุกๆ วัน จำไว้ว่า เรากินอะไรไปก็ได้อย่างนั้นแหละ
5. ลดปริมาณอาหารลง
คุณต้องพยายามควบคุมปริมาณอาหารที่กินให้ได้นั่นเอง จริงๆแล้ว ที่น้ำหนักคุณมากอย่างเงี้ย ก็เพราะกินมากนั่นแหล่ะ อย่างบางที คิดว่ากินสลัดไม่อ้วนหรอก แต่ก็กินซะจานมโหระทึกเลย จะลดลงได้งั้ย เวลารับประทานขอให้ดูที่ปริมาณด้วย ลดมันลงมั่ง ลองใช้จานที่เล็กลงหน่อย ชั่งน้ำหนักอาหารก่อนกินถ้าทำได้ จะได้รู้น้ำหนักที่อาหารที่เรากินเป็นประจำ และรู้ว่าเรากินไปขนาดไหนแล้ว
6. กินน้ำอย่างน้อย 1 ลิตรต่อวัน
น้ำไม่ได้ทำให้คุณอิ่มหรอกนะ แต่มันช่วยให้ตับไตคุณทำงานดีขึ้นต่างหาก แล้วยังบำรุงผิวอีก การเสียน้ำทำให้คุณไม่สดชื่น การเผาผลาญแคลอรี่ต่ำลง สมาธิกับความจำ ก็จะสั้นลงด้วย เอ้า..ลุกไปกินน้ำซะหน่อย
7. ทานมื้อเช้าทุกวัน
การอดข้าวเช้า ร่างกายจะส่งสัญญาณว่า คุณรู้สึกหิวแทบบ้า เพราะไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องมาหลายชั่วโมงแล้ว เมื่อรับประทานมื้อกลางวัน ก็จะทำให้คุณรับประทานเข้าไปมากเกินมื้อปกติ การอดอาหารมื้อเช้า จะทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายเราจะทำงานช้าลงด้วย ทำให้เป็นคนอ้วนง่าย
8. ออกกำลังกายให้ติดเป็นนิสัย
ถ้าคุณทำให้เหมือนกับที่คุณติดละครทีวีสักเรื่องนึงได้ดีมาก เพราะมันเป็นอาวุธชั้นยอด ที่จะทำให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม และยังไม่กลับมาอ้วนอีกด้วย ไม่มีอะไรดีกว่านี้ไปอีกแล้ว ค่อยๆ เริ่มทีละท่าสองท่า แล้วค่อยๆ เพิ่ม อาจเริ่มจากเดินนิดหน่อย หรือจะเริ่งจากเล่นกีฬาที่คุณชอบก่อนก็ได้ (ห้ามเป็นกีฬาในร่มอย่างไพ่เด็ดขาด )
9. บำรุงกล้ามเนื้อบ้าง
ควรการออกกำลังกายแบบเน้นการใช้กล้ามเนื้อ สัก 2-3 วันต่ออาทิตย์ ทำให้กล้ามเนื้อมีกำลังเพิ่มขึ้น รู้มั้ยว่า จะทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ ได้มากขึ้นตลอดทั้งวัน แม้แต่ตอนนอน ก็ช่วยในการเผาผลาญแคลอรี่เราเพิ่มด้วยนะ
10. อย่าเอาแต่สบาย พยายามทำอะไรที่ต้องใช้กำลังทำบ้าง
ไม่ได้บอกให้คุณไปตบตีกับใครนะคะ หมายความว่า ลองจอดรถไกลๆดูบ้าง ลองขึ้นบันไดแทนลิฟต์

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

10 กฎลดน้ำหนักให้ได้ผล

ทุกคนก็ต้องการลดน้ำหนักให้ได้แต่บางอย่างก็ยากเกินไป บางอย่างก็ดีเกินไปจนเหมือนจะทำไม่ได้ผล แต่ยังไงก็ยังมีหนทางช่วยลดน้ำหนักให้ได้ผลและสุขภาพดีอีกด้วยนะคะ
สิ่งที่คุณต้องทำก็คือให้เพิ่มอาหารเข้าไปห้าอย่างและลดห้าอย่างที่เหลือ และคุณสามารถทำได้ตามใจตนเองอีกด้วย คุณไม่จำเป็นต้องเพิ่มหรือลดอย่างทันทีทันใดที่ต้องการลดน้ำหนัก แต่หากคุณยิ่งเปลี่ยนกิจวัตรนี้ได้เร็วแค่ไหนผลที่ออกมาก็จะดียิ่งขึ้น
ถ้าคุณได้รับประทานสิ่งที่ต้องเพิ่มไปแล้ว ก็แค่ให้เพิ่มสิ่งที่คุณยังเหลืออยู่ ถ้าหากมีสองสามสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปได้อยากสำหรับคุณ ก็ให้ใช้สิ่งอื่นที่สามารถทดแทนกันได้ค่ะ ถ้าหากคุณได้ลดสิ่งต่างๆลงแล้ว อย่าลืมลดสิ่งที่เหลือลงด้วยนะคะ
ภายในหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น หากคุณเอาใจใส่สิ่งเหล่านี้ให้ดี ควรจะเห็นผลลัพธ์บางอย่างที่คุณอาจจะพอใจก็ได้ค่ะ
5 อย่างที่ต้องเพิ่ม
1. ไฟเบอร์ หากคุณไม่ชอบรับประทานผัก ผลไม้แล้วล่ะก็ คงจะต้องค่อยเพิ่มในมื้ออาหารทีละนิด และหาผักผลไม้หรืออาหารจำพวกถั่วที่คุณชอบทาน ไม่งั้นล่ะก็ร่างกายคุณก็จะสร้างแก๊ซเพิ่มขึ้น ไม่ดีเลยใช่มั้ยล่ะคะ ที่ต้องมีกรดในกระเพาะในช่วงลดน้ำหนัก
2. ผักสด รวมไปถึงน้ำผักผลไม้ด้วยค่ะ เป็นอีกอย่างที่คุณจะต้องรับประทานให้ได้ทุกวัน เพราะมีทั้งวิตามิน แร่ธาตุต่างๆ และมีเอ็นไซม์อีกด้วย
3. ผักผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ไม่ว่าจะเป็นสตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ และรวมไปถึงองุ่น มะเขือเทศ และแตงกวาด้วยค่ะ เพราะจะดีกับสุขภาพของเราเอง เชื่อเถอะค่ะว่า รับประทานแล้วจะรู้สึกสดชื่น เพราะลดน้ำหนักจะทำให้เราหงุดหงิดได้ การได้ทานอะไรที่มีประโยชน์บ้างจะทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นไปด้วย
4. ตระกูลถั่ว จะเป็นถั่วชนิดใดก็ได้ เพราะมีทั้งไขมันชนิดดีและโปรตีน แต่อย่าทานมากเกินไปนะคะ อาจจะเพิ่มลงไปในสลัด และนี่ก็จะเป็นได้ทั้งพืชตระกูลถั่วและผักสดที่ต้องเพิ่มในมื้ออาหารในมื้อเดียวกันเลยค่ะ หรือจะทานถั่วเป็นอาหารว่างก็ไม่เลวนะคะ ดีกว่าขนมหวานเป็นไหนๆเชียวค่ะ
5. โปรตีน ในทุกๆมื้ออาหาร ควรรับประทานปลาให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง แต่ไม่ควรเป็นปลาทอดนะคะ
5 อย่างที่ควรจะลด
1. พาสต้า มะกะโรนี
2. ขนมปังทั้งหลาย โดยเฉพาะขนมปังขัดขาว ถึงแม้จะเขียนข้างห่อว่ามีประโยชน์สักแค่ไหนก็ตาม ถ้าไม่ใช่ขนมปังโฮลวีทแล้วล่ะก็ควรจะลดหรือทานเพียงวันละแผ่น - สองแผ่นเท่านั้น
3. อาหารเช้าสำเร็จรูปหรือที่เราเรียกกันว่าซีเรียล ตามที่เราเห็นในโฆษณานั่นล่ะ รวมไปถึงที่เขียนข้างๆกล่องด้วยว่ากรุบกรอบ ให้อ่านส่วนผสมเสียก่อน ถ้ามีน้ำตามากกว่า 5 กรัม วางลงซะเถอะนะคะ หากต้องการซีเรียลเลือกชนิดที่เป็นโอ้ทมีล หรือจากธัญพืชเสียดีกว่า
4. น้ำอัดลมทุกชนิด แม้แต่ชนิดที่เป็นประเภทไดเอ็ต หรือไลท์
5. คุ้กกี้ เค้ก พาย ขนมปังกรอบและขนมหวาน คงจะห้ามใจกันได้ยากสักหน่อย

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

ลดความอ้วนผิดหลัก ระวังอารมณ์บูด

หันไปทางไหนตอนนี้ก็มีแต่คนกำลังไดเอทกันทั้งนั้น…เข้าใจค่ะว่าการตุ้ยนุ้ยเกินไปนั้นเป็นบ่อเกิดของโรคต่าง ๆ มากมาย แต่ก็อย่าลืมว่าการที่คุณไดเอทจนเกินพอดีไปนั้นบางทีก็อาจส่งผลเสียได้มากเช่นกัน อย่างการไดเอทด้วยการควบคุมอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตจากวิธียอดนิยม Atkins diet (จากการประมาณพบว่าประชากรจำนวน 3 ล้านคนในประเทศอังกฤษ นิยมบริโภคอาหารแอตคิน) นั้นแม้จะสามารถทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ แต่ก็มีผลทำให้อารมณ์ของคุณไม่ดีไปด้วย
งานวิจัยของเวิร์ตแมนและคณะ ได้แสดงให้เห็นว่าการขาดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตทำให้หยุดการสร้างฮอร์โมนเซโรโทนินที่ถูกควบคุมโดยสมอง ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้เป็นสารเคมีที่มีผลต่ออารมณ์และช่วยยับยั้งความอยากอาหาร โดยการสร้างเซโรโทนินนี้จะเกิดขึ้นเฉพาะเมื่อรับประทานคาร์โบไฮเดรตจากธรรมชาติเท่านั้น โดยเวิร์ตแมนให้ความเห็นว่า “เมื่อเซโรโทนินถูกสร้างขึ้น และเปลี่ยนเป็นสารที่มีประสิทธิภาพในสมองนั้น จะมีผลต่อความอยากอาหาร ทำให้รู้สึกอิ่มก่อนที่กระเพาะอาหารจะได้รับอาหารทั้งหมด และกระเพาะอาหารก็จะเกิดการขยายตัว โดยผลของเซโรโทนินนี้มีความสำคัญทั้งในการควบคุมเรื่องความเจริญอาหารและควบคุมไม่ให้ร่างกายรับประทานอาหารมากเกินไป รวมทั้งยังมีความสำคัญในการควบคุมอารมณ์ด้วย
นอกจากนี้คณะผู้วิจัยจากสถาบันเอ็มไอทียังได้ค้นพบว่าสมองสามารถสร้างสารเซโรโทนินได้ภายหลังจากการรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต และควรมีปริมาณโปรตีนอยู่เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย จึงสามารถอธิบายได้ว่าทำไมคนเราจึงยังคงมีความรู้สึหิวแม้จะได้ทานเนื้อสเต็กชิ้นใหญ่แล้วก็ตาม แสดงให้เห็นว่าแม้กระเพาะอาหารจะมีอาหารอยู่ภายในจนเต็มกระเพาะแต่สมองไม่สามารถสร้างเซโรโทนินได้เพียงพอที่จะทำให้ร่งกายเกิดความรู้สึกอิ่ม
โดยทั่วไปแล้วจะพบว่าผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีเซโรโทนินในสมองน้อยกว่าผู้ชาย ดังนั้นการที่ผู้หญิงรับประทานอาหารที่มีผลทำให้ปริมาณเซโรโทนินลดลงไปกว่าเดิมก็ยิ่งทำให้ผู้หญิงรู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่นัก ซึ่งจากเหตุดังกล่าว ถ้าผู้บริโภคคาร์โบไฮเดรตเปลี่ยนไปรับประทานโปรตีนแทน เขาจะกลายเป็นคนอารมณ์ร้าย ขี้รำคาญ อารมณ์ไม่ดี กระสับกระส่าย และไม่อยู่นิ่ง แต่ถ้าเปลี่ยนไปรับประทานอาหารไขมันแทน เช่น เบคอน เนยแข็ง ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกเหนื่อย เซื่องซึมไม่สนใจ และเฉื่อยชาแทน
ฉะนั้นถ้าคุณอยากเป็นคนลดน้ำหนักที่อารมณ์ดีด้วยละก็ การรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่คือวิธีที่ดีที่สุดค่ะ…

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

7 สิ่งควรลืม เมื่อต้องลดน้ำหนัก (Diet)

หากการลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนักครั้งนี้ เป็นไปเพื่อ "สุขภาพกายที่ดีขึ้น" คุณต้องเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับ Diet เสียใหม่ จงลืม 7 ข้อต่อไปนี้ซะ
1. ลืมความกังวลเรื่องน้ำหนักส่วนเกิน เพราะความกังวลเป็นบ่อเกิดของความอ้วน!! ยิ่งคิดมากก็ยิ่งหิว ประเภทกินแก้กลุ้มอะไรทำนองนี้ ทำใจให้สบาย
2. ไม่มีใครที่ไหนสามารถลดน้ำหนักได้ในชั่วข้ามคืน ลืมเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ นี้ได้เลย หันมาใส่ใจเรื่องอาหารการกิน และการออกกำลังกายจะดีกว่า... slow, but sure
3. ปัญหาสำคัญอยู่ที่กินอะไรและเท่าไหร่ การกินน้อยเกินไปอาจทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม ฉะนั้นลืมความเชื่อที่ว่ากินน้อยแล้วจะผอมอย่างสุขภาพดีเถอะค่ะ
4. ปรกติคุณอาจเป็นผู้หญิงแกร่ง ทำอะไรด้วยตัวเองไม่ง้อใคร แต่ยามนี้กำลังใจสำคัญมาก ควรหาที่ปรึกษาสักคน ลืมความคิดนี้ไว้ชั่วคราวไม่เสียหายหรอก
5. ลืมยาลดความอ้วนและอาหารเสริมต่าง ๆ หันมาปรับวิธีกิน การใช้ชีวิต ควบคุมอารมณ์ และออกกำลังกายก็เพียงพอแล้ว
6. โยนเครื่องคิดเลขทิ้งไป เลิกคิดถึงการคำนวณแคลอรี่ เพราะคุณรู้อยู่แล้วนี่ว่าอะไรควรกิน ไม่ควรกิน
7. ลืม Diet ที่ล้มเหลวในอดีต เอาความผิดพลาดมาเป็นบทเรียนดีกว่าจะมัวตีอกชกตัว ไม่เกิดประโยชน์อันใด ตั้งต้นใหม่ แต่อย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นปัญหาใหญ่ของชีวิตนะคะ

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

ทำอย่างไรดีถ้าคุณเป็นคนหิวบ่อย

ปัญหาหนักอกของคนที่ชอบกินจุบกินจิบ คือจะยากต่อการหักห้ามใจไม่ให้กิน ไม่ใช่กินเพราะหิว แต่กินเพราะอยาก
ซึ่งนั่นจะนำไปสู่การเป็นคนอ้วน ซึ่งไม่มีใครอยากเป็นกัน ต่อไปนี้คืออาหารที่ช่วยต้านอาการหิวบ่อย ลองอ่านกันดู


1. ข้าวกล้องและธัญพืชไม่ขัดขาว อุดมไปด้วยโครเมียมที่ช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ มีแมกนีเซียมที่ช่วย
ปรับระดับอินซูลินแถมด้วยวิตามินบีที่จำเป็นต่อระบบเมแทบอลิซึม

2. อาหารทะเล ลองหันมากินปลา หอย ปลาเล็กปลาน้อยที่มีซีลีเนียม แมกนีเซียม แคลเซียม และสังกะสี แร่ธาตุเหล่านี้
ช่วยรักษาสมดุลของสารสื่อประสาท ทำให้ไม่หิวบ่อย

3. ถั่ว ของกินเล่นช่วยให้อารมณ์ดีที่อุดมด้วยวิตามินบีและแมกนีเซียม ช่วยในการปรับระดับอินซูลิน และช่วยการทำงานของ
ระบบประสาท

4. แอ๊ปเปิ้ล มีเส้นใยอาหารมาก ทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้และชนิดที่ไม่ละลายน้ำ กินแล้วอยู่ท้อง รสชาติไม่หวานจัด และเป็น
ผลไม้ที่ดีต่อร่างกายทุกส่วน

5. ลูกพรุน อุดมด้วยโครเมียม กินครั้งละน้อย ๆ จะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้

6. ลูกเกด กินเป็นของว่าง ทำให้ไม่คิดถึงขนมขบเคี้ยว ลูกเกดมีแมงกานีสที่ช่วยในกระบวนการเผาผลาญพลังงาน
ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ ช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอย่างช้า ๆ ทำให้ไม่หิวบ่อย

โดยเฉพาะคนอ้วน ประเภทตามใจปาก แนะนำให้ตั้งใจปฏิบัติกันอย่างจริงจัง เพื่อความงามและสุขภาพของเราเองนะค่ะ

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

ลดต้นขา...ให้ได้ผลดี

ปัญหาการลดต้นขาที่หลายท่านพบระหว่างช่วงลดน้ำหนัก ลองแวะมาอ่านกันดูนะคะ
ปัญหาไขมันส่วนเกิน ที่แสนหนักอกหนักใจของสาวๆ ก็คือ การลดต้นขา ค่ะ เจ้าส่วนนี้เป็นส่วนที่ลดยากเสียเหลือเกิน ลองสังเกตสาวๆ บางคนที่ผ่านกรรมวิธีไดเอ็ตลดความอ้วนโดยการอดอาหารดูสิคะ พวกหล่อนจะลดจนเอวบางร่างน้อย ...แต่ เอ๊ะ เอ๊ะ... ดูช่วงล่างจากต้นขาลงไปยังหลงเหลือความเป็น ขาใหญ่ให้เห็นอยู่ดี เพราะยังขาดการบริหารให้กระชับการออกกำลัง และบริหารร่างกายเพื่อกระชับสัดส่วน ต้องทำให้ถูกวิธีนะคะมิฉะนั้น ผลที่ออกมา อาจจะไม่เป็นอย่างที่คุณตั้งใจนัก แทนที่ขาจะเรียวงามกลับกลายเป็นกล้ามขานักกีฬาโอลิมปิคก็ได้
ขอแนะนำวิธีกระชับขาให้เรียวงาม ซึ่งมีหลายวิธีให้คุณเลือกใช้ (แล้วแต่ความสะดวกค่ะ)
1. วิธีออกกำลังกาย ..ที่ดีที่สุดคือ การว่ายน้ำ
และในการว่ายน้ำนั้น คุณก็สามารถบริหารขาในน้ำไปด้วย คือ
- ขณะที่คุณอยู่ในสระน้ำ ให้ใช้แขนทั้ง 2 ข้างจับขอบสระ คว่ำหน้า ยืดขาให้ลอยตัว เหยียดให้ตรงพร้อมกับตีขา ทำไปเรื่อยจนรู้สึกเหนื่อย ให้หยุดสักครู่ แล้วทำต่อ ประมาณ 10-15 ครั้ง
- ยืนในน้ำ หันข้างให้ขอบสระ ใช้มือหนึ่งจับขอบสระ อีกข้างหนึ่งท้าวสะเอว เหยียดขาตรง เหวี่ยงขาข้างเดียวกับมือที่ท้าวสะเอว ไปข้างหน้า แล้วเหวี่ยงกลับไปข้างหลัง ทำ 20 ครั้ง แล้วเปลี่ยนมาทำอีกข้างหนึ่งอีก 20 ครั้ง ทำแบบนี้ซ้ำประมาณ 10-15 ครั้ง
2. วิธีบริหารขาก่อนเข้านอน
ทำง่ายๆ คือ หากางเกงสำหรับกระชับสัดส่วนมาใส่ก่อนนอนสัก 2 ชั่วโมง คุณสมบัติของกางเกงนี้คือ จะอบร่างกายจนเกิดเหงื่อ และระหว่างนี้คุณก็บริหารขาไปด้วย จะได้ผลเร็วขึ้น ลองทำตามขั้นตอนนี้นะคะ
1. นอนหงายกับพื้น หาหมอนรองก้นไว้กันเจ็บ
2. ยกขาทั้งสองขึ้น เหยียดให้ตรง ค้างไว้ 2 นาที
3. ยังตกขาอยู่ แยกขาออกจากกัน แล้วหุบขาชิด ทำไปมา 20 ครั้ง
4. ปั่นจักรยานกลางอากาศสัก 100 ครั้ง
5. เปลี่ยนท่า นั่งกับพื้น เหยียดขา จากนั้นตีขาไปมากับพื้น 100 ครั้ง(เสียงอาจจะดังนะคะวิธีนี้) ทำได้ทุกวันจะดีมากค่ะ
3. วิธีเผาผลาญไขมันส่วนเกินขณะนอนหลับ คือ การทำให้ร่างกายเกิดเหงื่อในขณะที่กำลังนอนหลับอยู่ วิธีง่ายๆ ได้แก่ การใส่กางเกงกระชับสัดส่วนขณะนอนด้วยและจะให้ได้ผลเร็ว คือคุณต้องไม่เปิดเครื่องปรับอากาศ เรียกว่า "นอนทนร้อนเพื่อความสวย" ไงคะแต่ต้องขอเตือนว่า วิธีนี้เหมาะกับสาวที่มีความพยายามสูงและอดทนได้เท่านั้นแต่ดิฉันไม่แนะนำให้ทำค่ะเพราะเวลานอนนั้น ร่างกายควรได้พักผ่อนให้สบายที่สุด ถ้านอนร้อนๆ อาจทำให้นอนไม่หลับ หรือหลับไม่เต็มตื่นเช้าวันต่อไปของคุณก็จะไม่สดใสเท่าที่ควร

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

มหัศจรรย์ !!! อาหารเช้าลดน้ำหนัก

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังพยายามลดน้ำหนัก ขอบอกว่าอย่าลดอาหารเช้าค่ะ...เพราะนี่คือสูตรลดความอ้วนง่ายๆ ที่จะทำให้คุณลดน้ำหนักอย่างได้ผล
จากผลการวิจัย พบว่าการรับประทานอาหารเช้าที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จะมีผลทางด้าน จิตวิทยาในคนที่กำลังพยายามลดน้ำหนัก เพราะการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยอาหารเช้าที่มีประโยชน์จะทำให้ร่างกายต้องการพลังงานจากอาหารในช่วงต่อมาของวันนั้นน้อยลงกว่าปกติ โดยอาหารเช้าเหล่านี้ก็เป็นอาหารที่มีส่วนประกอบอย่างง่าย ๆ แต่คนทั่วไปมักได้รับไม่เพียงพอ เช่น แคลเซียม (พบในนม โยเกิต หรือเนยแข็ง) ผลไม้ (ที่ผสมกับซีเรียลหรือผสมในโยเกิต) และเมล็ดธัญพืช (ที่อยู่ในอาหาร ธัญพืชหรือขนมปังโฮลวีท)
ดร.จอห์น เอ็ม ดี คาสโตร แห่งมหาวิทยาลัยเท็กซัส ได้นำเสนอผลการวิจัยครั้งนี้จากการศึกษาการรับประทานอาหารเช้าโดยบันทึกอาหารที่รับประทานตลอดช่วงเวลา 7 วัน ของชายและหญิงจำนวน 900 คน พบว่าผู้ที่รับประทานอาหารที่มีแคลอรีระดับเดียวกันในช่วงสายของวัน และผลของความรู้สึกอิ่มที่ได้จากการรับประทานอาหาร ที่มีพลังงานมากในช่วงเช้านั้น จะส่งผลทำให้ความต้องการพลังงานในช่วงถัดมาของวันลดลง ทำให้ผู้ที่ได้รับแคลอรีในช่วงเช้ามีความต้องการพลังงานต่อวันน้อยกว่าผู้ที่ได้รับพลังงานในช่วงสายของวันที่จะไม่มีความรู้สึกอิ่ม จึงส่งผลให้รับประทานอาหารมื้อเย็นในปริมาณมาก
ตัวอย่างเช่น
ถ้าเรารับประทานอาหารเช้าที่มีพลังงาน 300 แคลอรีจากขนมปังขนาดใหญ่ครึ่งชิ้น ครีมชีส 1 ออนซ์ และกาแฟ 1 ถ้วย (ใส่ นมและน้ำตาล) ตลอดวันร่างกายจะมีความต้องการพลังงานประมาณ 2,000 แคลอรี
แต่ถ้าเรารับประทานอาหารเช้าที่มีพลังงาน 400-500 แคลอรีจากอาหารซีเรียล ขนาด 1 หน่วยบริโภคพร้อมกับกล้วยหอม 1 ชิ้น นมพร่องมันเนย 1 แก้ว ไข่ต้ม 1 ใบ โยเกิตชนิดพร่อง หรือไม่มีไขมันและกาแฟ ตลอดทั้งวันนั้นเราอาจจะต้องการพลังงานเพียงแค่ 1,800 แคลอรี
สูตรลดความอ้วนง่ายๆ ที่ใครก็ทำได้ เมื่อทราบแล้วก็อย่างดมื้อเช้ากันนะคะ...

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

สูตรยอดนิยมในการลดน้ำหนักภายใน 7 วัน

มีหลายต่อหลายสูตรที่อาจทราบ ๆ กัน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจและความมุ่งมั่นของแต่ละคนว่าจะเอาจริงเอาจังกันแค่ใหน ยิ่งมีวินัยมาก ผลสำเร็จก็รออยู่ข้างหน้าแน่ ๆ สาวไซส์ใหญ่ ลองดูสูตรตามนี้ลองทำกันนะค่ะ

วันที่ 1
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง กับผักต้ม
มื้อเย็น : สเต็กกับสลัดผักน้ำใส และผลไม้


วันที่ 2
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น
มื้อกลางวัน : สเต็กหรือเนื้อหมู เนื้อวัวย่างก็ได้ กับสลัดผักเขียวและผลไม้
มื้อเย็น : แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าใดก็ได้


วันที่ 3
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 2 แผ่น
มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง และสลัดกับแครอท
มื้อเย็น : แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าใดก็ได้


วันที่ 4
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น
มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 1 ฟองกับแครอทต้ม
มื้อเย็น : ผลไม้และโยเกิร์ตรสธรรมชาติ


วันที่ 5
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ปลาเผาหรือปลาย่างกับผักต้ม
มื้อเย็น : สเต็ก หรือเนื้อย่างไม่ติดมัน กับสลัดผักสดน้ำใส


วันที่ 6
มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ไก่ย่างไม่ติดหนัง
มื้อเย็น : ไข่ต้ม 2 ฟอง กับแครอทต้ม


วันที่ 7
มื้อเช้า : กาแฟหรือชาบีบมะนาว แต่ไม่ใส่น้ำตาล
มื้อกลางวัน : ผลไม้อะไรก็ได้ในปริมาณต้องการ
มื้อเย็น : อะไรก็ได้ทุกอย่างที่อยากทาน ไม่จำกัดปริมาณ
********************************************

ลองทำกันดูนะจ๊ะ สาว ๆ ถ้าอยากมีหุ่นผอมเพรียว ห่างไกลความอ้วน

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

คุณกำลังลดน้ำหนักมากเกินไปหรือเปล่านะ ??

คุณกำลังลดน้ำหนักมากเกินไปหรือเปล่านะ ??
แม้ว่าจะยังไม่ถึงหุ่นในฝัน 34-24-36 ก็ตาม) แต่การลดน้ำหนักมากเกินไป (เกินขีดจำกัดของร่างกายของเรา) มันจะเกิดอันตรายมากกว่านะค่ะ เพราะว่าร่างกายจะไปดึงเอาไขมัน และโปรตีนที่สะสมไว้ในร่างกายมาใช้งาน (บางคนบอกว่า เอาไขมันออกไปให้หมดตัวเลยพี่ = ='') แต่จริงๆ ร่างกายคนเรามันต้องมีไขมันด้วยนะค่ะ ถ้าไม่มี มันจะกลายเป็นหนังหุ้มไปอะจิ เมื่อคุณลดน้ำหนักมากๆ จนไขมัน และโปรตีนในร่างกายลดลงไปมากเกิน ร่างกายของเรามันก็ฉลาดค่ะ คือไม่ยอมตาย (55555) ก็เลยต้องหามาเติม นั้นหมายความว่า ร่างกายของเราจะพยายามหาโปรตีนกลับคืนมา ผลก็คือ คุณอาจจะมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น (เวงกำ... อุตสาห์ลดตั้งนาน) แล้วจะทำยังไงดีละ
ลองมาสำรวจดูว่า 7 อาการเหล่านี้ เกิดขึ้นกับคุณหรือไม่ ขณะที่คุณกำลังลดน้ำหนักค่ะ ถ้ามี ... ก็แสดงว่าคุณกำลังลดน้ำหนักเกินไปแล้วค่ะ
1. ผิวของคุณเริ่มที่จะแห้งเกินไปแล้วนะ!
เนื่องจากการลดน้ำหนัก จะทำให้คุณสูญเสียน้ำในร่างกาย เซลล์ผิวหนังจะขาดน้ำ ทำให้เกิดรอยย่นยับ จนเห็นได้ชัด
2. เริ่มหมดแรง อ่อนเพลีย หรือหน้ามืด!
สัญญาณอันตรายอันนี้ น่ากลัวค่ะ เป็นเพราะว่าพลังงานจากตับถูกดูดออกไป และหากลดน้ำหนักมากๆ โปรตีนจากกล้ามเนื้อคุณหายไปด้วยละก็ (โชค 2 เด้งเลยค่ะ = ='') จะทำให้คุณหน้ามืดบ่อย และรู้สึกว่า ร่างกายเปลียๆ
3. คุณเริ่มมีกลิ่นปาก (จากเดิมไม่เคยมีนะ... )
เพราะว่ากรดไฮโดรคลอริคในกระเพาะอาหารเหลือค่ะ โดยปกติเจ้ากรดไฮฺโดรคลอริคนี้ (ไม่ใช่ไฮโดรลิค แบบระบบยกรถนะค่ะ >__<) จะถูกอาหารที่เราทานเข้าไปดูดไป หากใครลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารทันที (แบบหักดิบ)
กรดที่ว่านี้ มันจะเหลือและมีการบูดเน่าค่ะ เลยทำให้กลิ่นเน่าโชยออกมาเวลาเราพูดด้วย.. แหวะดีไหมละ อีกอย่างคือ บางครั้งปริมาณกรดในเลือดที่มีมากเกินไป (เพราะว่าบางคนเล่นลดปริมาณคาร์โบไฮเดรต ประมาณว่าไม่กินแป้งเลย) ภาวะความเป็นกรดของเลือดจะมากขึ้น กรดที่ว่า มันจะถูกขับออกมาทางกลิ่นปากค่ะ
4. เริ่มนอนไม่ค่อยหลับ
ถ้าคุณลดน้ำหนักด้วยการจำกัดแคลอรี่ ประมาณว่ากินน้อยๆๆๆๆๆๆ แล้วคาดว่ามันจะผอม คุณอาจจะเจอภาวะนอนไม่ค่อยหลับค่ะ เพราะว่าอาหารที่มีแคลอรี่น้อยๆ ส่วนมากจะไม่ค่อยมีน้ำตาล เมื่อระดับน้ำตาลของคุณลดมากเกินไป หรือมากเกินไป จะมีผลให้ฮอร์โมนในร่างกายเกิดความปั่นป่วน ทำให้คุณไม่รู้สึกง่วง จนบางครั้งร่างกายคุณอาจจะดูไม่ค่อยสดชื่น หรือกระตือรือร้นไปเลย
5. ท้องเสียบ่อยๆ (โดยที่ไม่ได้กินอาหารแปลก แหวกแนวใดๆ)
ถ้าคุณแน่ใจว่าอาหารที่คุณทาน ไม่ได้สะอาด แต่ดันท้องเสียบ่อย ในขณะที่คุณกำลังลดน้ำหนักอย่างคร่ำเคร่ง.. อาจจะเป็นเพราะว่า คนอ้วนโดยมาก มักจะกินอาหารที่เป็นพวกแป้งมาก แล้วโดยมากเพื่อนๆ จะลดยังไงละค่ะ .. คำตอบสุดคลาสสิกก็คือ.. ไปกินผัก ผลไม้แทน หรืออาหารที่มีกากใยมากแทนค่า
แต่เชื่อหรือไม่ว่า การที่คุณหยุดทานแป้ง และไปเพิ่มกากใยมากๆ ทันที คุณอาจจะท้องเสียได้ค่ะ ทางทีดีคือ ค่อยๆ ปรับเมนูอาหารนะค่ะ โดยค่อยๆ เพิ่มอาหารที่เป็นกากใยทีละขั้นๆ ไป อย่าใจร้อนนะค่ะ เดี๋ยวอึหมดตัว.. สลบคาห้องน้ำไม่รู้ด้วยนะ อิอิอิ ส่วนสาวใดที่คิดว่า อึไปเยอะๆ เลย ฉันจะได้ผอม ... คุณกำลังเข้าใจผิดนะค่ะ... เพราะว่าคุณไม่ได้อ้วนเพราะอึนะค่ะ การอึมากๆ อาจจะทำให้คุณอ่อนเพลียได้นะค่ะ เพราะร่างกายเสียน้ำไปด้วยทุกครั้ง
6. ความดันโลหิตเริ่มสูงผิดปกติ
หากใครอยากลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารเป็นเวลาต่อเนื่องนานๆ ความดันของเลือดเราจะเพิ่มขึ้น หลอดเลือดจะหดตัวเกร็ง แต่ถ้าคุณรักษาความสมดุลย์ของอาหารได้ คือ ไม่มากและไม่น้อยเกินไป ระดับความดันของเลือดจะปรับตัวคงที่ได้เองค่ะ หากความดันเลือดสูงปรี๊ดมากๆ มันจะไม่คุ้มกันนะค่ะ
7. กระเพาะอาหารเริ่มไม่ค่อยจะย่อย
เพราะว่าการลดอาหาร หรือแคลอรี่ของเรา ทำให้ระบบการย่อยอาหารไม่ดี เพราะว่าปกติ กระเพาะอาหารของเราจะขับกรดออกมามาก และมันก็จะปกติไม่มีปัญหาใดๆ หากคุณทานอาหารปกติ แต่เมื่อคุณลด หรือ งด อาหาร เท่านั้นละค่ะ กรดในกระเพาะอาหารจะถูกขับออกมาไม่หยุด ทำให้คุณปวดท้องได้ สุดท้ายกลายเป็นโรคกระเพาะไป
การลดน้ำหนักที่ถูกต้องคือ การลดน้ำหนักแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่าไปมองหุ่นคนอื่น หรือเปรียบกับคนอื่นนะค่ะ เช่น เพื่อนเราใช้สูตรนี้ลดได้ xx กิโล / เดือน เราก็ต้องทำให้ได้เท่า หรือมากกว่าเขา มันเป็นไปไม่ได้อะค่ะ เพราะร่างกายมันคนละคนกัน การเผาผลาญก็ไม่เท่ากัน และอาหาร สภาพแวดล้อม การใช้พลังงานของแต่ละคนไม่เท่ากัน ดังนั้นหากเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ก็จะยิ่งเครียดไปเปล่าๆ นะค่ะ
ค่อยๆ ลดไป ควบคู่กับการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนร่างกาย + จิตใจด้วยค่ะ บางครั้งการไปกังวลกับการลดน้ำหนักมากๆ แทนที่จะลดได้ กลายเป็นน้ำหนักเพิ่มโดยไม่รู้ตัวนะค่ะ

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

อาหารไดเอ็ท (สูตรยอดนิยม)

เคล็ดลับสำหรับคนอ้วนมีอยู่มากมายหลายสูตร แต่ที่กำลังจะแนะสูตรที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่สาว ๆ รอบเอวกว้าง หรือคนอ้วนทั้งหลาย ลองดูนะค่ะว่าจะชอบหรือเปล่า
อาหารเหล่านี้จะช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า และยังทำให้อารมณ์แช่มชื่นด้วยและที่สำคัญไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อร่างกายอีกด้วยนะจ๊ะ

1. กล้วย
เป็นอาาหารที่เหมาะกับคนที่กำลังรักษาหุ่น กินกล้วยสุกก่อนออกกำลังกาย 1 ผล จะทำให้ร่างกายฟิตไปตลอด 1 ชั่วโมงกำลังไม่ตก อีกทั้งยังอุดมด้วยวิตามิน เอ บี ซี ทำให้หน้าตาแช่มชื่นด้วย
2. มันฝรั่ง
เป็นแล่งพลังงานชั้นยอด โดยเฉพาะมันฝรั่งบด ต้ม หรืออบ แต่ควรงดมันฝรั่งทอง เพราะจะมีแคลอรี่สูง
3. แครอท
เบตาแครอทีนในแครอททำให้ผิวพรรณสวยโดยไม่ต้องพึ่งครีมใด ๆ ดื่มอย่างน้อยวันละ 1 แก้วก็ โอเคค่ะ

4. น้ำเปล่า
น้ำเปล่านี้แหละดีที่สุด อย่างน้อยต้องพยามยามจิบให้บ่อย ๆ ช่วยทำให้ผิวพรรณสดใส ยิ่งในยามเหนื่อยล้า
ลองดูนะค่ะ เผื่อจะทำให้คนอ้วนทั้งหลายได้ลดหุ่น หาเสื้อผ้าสวย ๆ ใส่ได้สบาย ๆ หรือถ้าๆทำไม่ได้ก็ไม่ต้องสนใจค่ะ เพียงแต่คุมอย่าให้มันหนักจนเกินไปและที่สำคัญที่สุดก็คือ การใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
นั่นแหละสำคัญค่ะ

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

ลดน้ำหนักกับไฟเบอร์

ทราบหรือไม่ว่าทานอาหารจำพวกไฟเบอร์แล้วสามารถลดความอ้วนได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาบอกกัน...
ไฟเบอร์คืออะไร??
ไฟเบอร์ หรือ เส้นใยอาหาร คือ ส่วนของโครงสร้างของพืช เช่น กิ่ง ก้าน เมล็ด เป็นส่วนที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้มีอีกชื่อหนึ่งว่าเซลลูโลส ซึ่งมี 2 ชนิดคือ ไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้ และ ไฟเบอร์ ชนิดที่ไม่ละลายน้ำ เมื่อรับประทาน ไฟเบอร์ ซึ่งเป็นสารที่ไม่ให้พลังงานเข้าไปในร่างกาย มันจะเข้าไปแย่งพื้นที่ในระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้เรารู้สึกอิ่มได้เร็วและอิ่มได้นาน ช่วยลดความอยากอาหารลงไป ทั้งยังช่วยกวาดสิ่งสกปรกออกจากลำไส้ ซึ่งก็รวมถึงไขมันและกากอาหารด้วย จึงช่วยลดพลังงานที่จะได้รับจากอาหารได้จึงส่งผลให้ลดน้ำหนักได้
ประโยชน์ของไฟเบอร์กับการลดน้ำหนัก
1.ไฟเบอร์ ช่วยให้อาหารเดินทางเร็วขึ้นและมีเวลาอยู่ในระบบทางเดินอาหารสั้นลง จึงช่วยลดการดูดซึม
2.ไฟเบอร์ ไปแย่งพื้นที่ในระบบทางเดินอาหาร ทำให้ลดความอยากอาหารและรับประทานอาหารได้น้อยลง หากใช้ร่วมกับการควบคุมชนิดและปริมาณอาหาร และออกกำลังกายร่วมด้วยจะยิ่งให้ผลดีในการ ลดน้ำหนัก
3.จากหลาย ๆ การทดลองพบว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มี ไฟเบอร์ อย่างน้อย 2 กรัมขึ้นไปช่วยให้น้ำหนักลดลงได้

รู้อย่างนี้แล้ว อาจพยายามเพิ่มไฟเบอร์เข้ามาในชีวิตประจำวันด้วยวิธีต่างๆ ค่ะ
1. ถ้าคุณชอบทานขนมปังกับกาแฟเป็นอาหารเช้า ก็ควรจะทานขนมปังโฮลวีตซึ่งมีไฟเบอร์สูง ส่วนกาแฟนั้นควรจะเปลี่ยนมาทานข้าวโอ๊ตหรือซีเรียลผสมธัญพืชกับนมแทนจะดีกว่า เพราะคาแฟอีนจากกาแฟจะทำให้หัวใจเต้นเร็วเกินไป จึงไม่เหมาะสำหรับร่างกายของคนที่กำลังลดน้ำหนัก
2. ข้าวมื้อกลางวันลองเปลี่ยนมาทานข้าวกล้องดูบ้าง นอกจากจะได้ไฟเบอร์เพียบแล้ว ยังมีสารอาหารที่ดีต่อร่างกายเรามากกว่าข้าวขาวหลายเท่า
3. เวลาทานก๋วยเตี๋ยวให้หาร้านที่มีเส้นหมี่ที่ทำจากข้าวกล้องหรือรำข้าวแทนเส้นสีขาวทั่วไป เดี๋ยวนี้ร้านอาหารเพื่อสุขภาพแบบนี้หาไม่ยากแล้ว
4. กับข้าวทุกมื้อควรจะมีผักเป็นส่วนประกอบ โดยอาจจะสลับเมนูไปมาไม่ให้เบื่อ เช่นสลัดผัก ผัดผักใส่ลูกชิ้น น้ำพริกผักสด แกงส้มผักรวม แกงเลียง
5. ในหนึ่งสัปดาห์ควรจะทานสลัดผักอย่างน้อย 3 มื้อ หรืออาจจะเปลี่ยนเป็นสลัดผลไม้บ้างก็ได้
6. ทานอาหารว่างที่มีไฟเบอร์เป็นหลัก เช่น ข้าวโพดคั่ว ข้าวโพดต้ม แครกเกอร์ งาตัด คุกกี้ข้าวโอ๊ต
7. ปิดท้ายทุกมื้อด้วยผลไม้ เช่น ส้ม ชมพู่ สับปะรด ส้มโอ แอปเปิ้ล แตงโม มะละกอ หรือมื้อเย็นซึ่งไม่ต้องการพลังงานมากมาย สาวๆ อาจจะทานแต่ผลไม้อย่างเดียวเลยก็ได้

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เมินหน้าหนีหุ่นอวบอ้วน..มาหุ่นดีด้วยวิธีง่ายกันดีกว่า

อีกเคล็ดลับเล็ก ๆ แต่ยิ่งใหญ่ หากสาว ๆ คนใหนไม่ต้องการจะกลายเป็นคนอ้วน ไซส์ใหญ่ละก็ ต้องพึงจดจำเกล็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ธรรมดาที่ไม่ธรรมดานี้นะค่ะ


1. พยายามไม่กินอะรอีกหลังบ่าย 2 โมง หรืออย่างช้าที่สุดต้องทานอาหารเย็นให้เสร็จก่อน 6 โมงเย็น หลังจากนั้นดื่มได้แต่น้ำเปล่า (ฟังง่ายแต่ต้องตั้งใจทำนะค่ะ)

2. สาว ๆ อย่าระบายอารมณ์โกรธหรือหงุดหงิดของคุณไปกับการกินจุบกินจิบ เพราะจะทำให้คุณน้ำหนักขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เอวจะขยายกว้างขึ้น จนต้องเป็นสาวไซส์ใหญ่ หรือคนอ้วนนั่นเอง

3. ต้องตั้งใจเลยว่าจะไม่กินช๊อคโกแลตและไอศครีมเด็ดขาด


4. และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด และสำคัญยิ่งคือ ต้องทานเฉพาะเวลาที่หิวจริงเท่านั้น ไม่ใช่ทานเพราะอยาก

เพียงเท่านี้ ถ้าสาว ๆ ทำได้ ก็จะห่างไกลจากคำว่า อ้วน ได้อย่างแน่นอน

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

สองอา....พาอ้วน

คุณผู้หญิงทั้งหลายพึงระลึกไว้เสมอว่า เราต้องพยายามสำรวจร่างกายตัวเราเป็นประจำ ว่ารูปร่างของคุณ ๆ อ้วนแล้วหรือยัง หรือว่ามีไขมันไปสะสม
เพิ่มตรงส่วนใหนบ้าง

ในที่นี้จะมีอา 2 อา ที่จะเป็นเหตุให้ความอ้วนมาเยือนสาว ๆ

1. อาหาร สิ่งที่คุณสาว ๆ บริโภคเข้าไปเป็นปริมาณเกินความจำเป็นหรือเปล่า หรือว่าเราตามใจปากอย่างเดียว หวานเกินไปหรือไม่ มันมากไปไหม เป็นต้น

2. อารมณ์ เป็นปัจจัยหนึ่งที่เป็นเหตุให้อ้วน เพราะเมื่อเราเครียด คนอ้วนส่วนใหญ่มักจะหาของหวาน ๆ กินคลายเครียด และยิ่งถ้าเราตามใจปากละก็เป็นอันจบกัน
ได้ใส่เสื้อผ้าไซส์ใหญ่ขึ้นแน่นอน
เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็ต้องเอาใจใส่ 2 อานี้ด้วยนะจ๊ะ ถ้าไม่อยากกลายเป็นคนอ้วน

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com

20 ไอเดียง่ายๆ ช่วยคุณเผาผลาญแคลอรี

ลดความอ้วนให้ได้ผล ก็ต้องออกกำลังกายตามโปรแกรม รับประทานอาหารอย่างระวัง แต่สำหรับสาวๆ ที่ไม่ค่อยจะมีเวลามากนัก เพราะชีวิตยังมีสิ่งอื่นที่ต้องทำมากมาย เราสามารถช่วยคุณได้ เพียงแค่ท่องจำให้แม่นตลอดเวลาว่าคุณต้องการมีหุ่นที่ดีทุกครั้งไม่ว่าคุณจะทำอะไร 20 อย่างต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่คุณอาจได้ทำเป็นประจำอยู่แล้ว เพียงแต่ทำแล้วให้ผลในเรื่องของการลดน้ำหนักไปในตัว
1.อย่าปล่อยให้ปริมาณอาหารกำหนดการกินของคุณ เพราะปริมาณอาหารไม่ใช่สิ่งที่ร่างกายต้องการ ทุกมื้ออาหารควรทานให้อิ่มพอดีๆ อย่าให้ถึงกับรู้สึกอึดอัด และไม่ต้องเสียดายอาหารที่เหลือในจาน แต่ให้คิดเสียว่าอาหารที่เหลือต่อวัน คือแคลอรีที่คุณสามารถลดได้
2.หาน้ำดื่มทุกครั้งก่อนที่คุณจะหาขนมนมเนยเข้าปาก ถ้าทำได้ วิธีนี้จะช่วยคุณได้มากทีเดียว ทั้งลดความอ้วนและประหยัดค่าขนมไปในตัวด้วย
3.กฎเหล็กของการลดความอ้วนคือ การตัด ABC ออก A หมายถึง Alcohol (แอลกอฮอร์), B หมายถึง Bread (ขนมปัง) และ C หมายถึง carbohydrates (คาร์โบไฮเดรต)
4.ปล่อยให้ตู้เย็นโล่งสะอาดตา โดยหาเพียงสิ่งที่ทานแล้วมีประโยชน์ต่อร่างกาย หรือทานแล้วช่วยให้คุณดูสวยขึ้น เช่น หาผลไม้หรือน้ำผลไม้ประดับตู้เย็นแทนขนมเค๊ก นมพร่องไขมันเนย และน้ำแร่แช่แทนน้ำอัดลม และที่สำคัญ ควรหาภาพนางแบบหุ่นดีๆ ใส่เสื้อผ้าโชว์ส่วนโค้งเว้า มาติดตู้เย็นแทนแม่เหล็กที่แถมจากร้านอาหาร
5.ทานอาหารเช้าเป็นประจำ เพราะอาหารเช้าสามารถช่วยให้คุณทานอาหารมื้ออื่นๆ ได้น้อยลง
6.เคยมีผลวิจัยบอกว่า การได้ฟังดนตรีเพลงโปรด (ต้องเพลงช้าๆ นะ) นั้นเปรียบเสมือนได้รับประทานอาหารรสเยี่ยม ทีนี้เมื่อคุณเกิดอาการอยากอาหาร ให้ลองเปลี่ยนมาฟังเพลงเพราะแทน
7.เตือนความจำตัวเองด้วยการนำชุดตัวเก่งที่คุณใส่ได้เมื่อครั้งยังผอม แขวนในตู้เสื้อผ้าที่คุณสามารถเห็นได้ชัดทุกวัน เพื่อเตือนความจำให้คุณอยากกลับมาใส่ชุดนี้อีกครั้ง
8.เมื่ออยู่ห้องแอร์เย็นๆ ให้หาน้ำขิงหรือชาเขียวดื่มแทน กาแฟ กาแฟหนึ่งถ้วย เปรียบเสมือนทานข้าวไปสองจาน น่าตกใจไหมล่ะ
9.นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่และเต็มตา เพราะผู้หญิงเรา หากได้นอนหลับเพียงพอ ร่างกายจะสามารถเพิ่มระบบเผาผลาญได้มากขึ้นจากปกติถึง 40% เชียวนะ (Cool!!)
10.ก่อนเข้าซุปเปอร์มาเก็ตทุกครั้ง ควรจดรายการที่ต้องการ และซื้อตามรายการที่จด แทนการเลือกซื้อแบบตามใจฉันจะนึกออก ณ ตอนนั้น หากตั้งใจช้อปของไม่มาก แนะนำให้ถือตระกร้าแทนรถเข็น เพราะนอกจากจะช่วยให้คุณได้ออกแรงแล้ว ยังช่วยไม่ให้คุณเลือกซื้อของเกินรายการที่ต้องการอีกด้วย
11.หลีกเลี่ยงการอยู่หรือทำงานในเวลากลางคืน เนื่องจาก แสงของยามค่ำคืนและการนอนดึกจะยิ่งทำให้คุณอยากทานของจุกจิก หรือหิวระหว่างคืนได้ แต่หากคุณต้องการดูหนังในเวลากลางก็สามารถทำได้ด้วยการเปิดไฟดวงน้อย เมื่อหนังจบก็สามารถดับไฟนอนได้เลย
12.เปลี่ยนขนมจุกจิกเป็นลูกอม เพราะลูกอมมีแคลอรีเพียง 20 แคลอรี และสามารถช่วยให้คุณหายหิวได้ถึง 20 นาที
13.เติมความสดชื่นด้วยชาเขียว เพราะชาเขียวสามารถทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้น ควรหาชาเขียวมาดื่มร้อนๆ สักสามถ้วยต่อวัน
14.ทำเรื่องกินให้เป็นเรื่องใหญ่ โดยไม่ทานอาหารในขณะที่กำลังทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น ดูทีวี อ่านหนังสือ หรือเล่นอินเทอร์เน็ต หากต้องการกิน ก็ควรนั่งกินบนโต๊ะอาหารอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
15.หาเวลาสัก 20 นาทีต่อวัน สำหรับการเดินเล่น ชมสวน หรือนั่งเล่นท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติ วิธีนอกจากจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์แล้ว ยังช่วยเผาผลาญแคลอรีต่อวันได้อีกด้วย
16.ฝึกที่จะใช้บันไดแทนลิฟ หากคุณทำงานหรือเรียนอยู่บนชั้นสูงๆ ให้ขึ้นลิฟไปถึงก่อนชั้นทำงานหรือชั้นเรียนอย่างน้อย 2 ชั้นที่เหลือให้ใช้บันไดแทน
17.ปลดปล่อยอารมณ์ให้สุดเหวี่ยงขณะขับรถ โดยการฟังเพลงแดนซ์เพลงโปรดของคุณ ร้องออกมาดังๆ แล้วขยับร่างกายตามจังหวะเพลง ไม่ต้องไปสนใจใครหรอก โดยเฉพาะหากรถยังแล่นอยู่
18.ยุ่งนัก หาเวลาออกกำลังไม่ได้ ให้หาถุงเท้าสบายๆ แล้วใส่อยู่บ้านแล้วโลดแล่นให้ทั่วพื้นบ้าน จินตนาการว่ากำลังเล่นสเก็ตอยู่ เพียง 10 นาทีก็ช่วยคุณเผาผลาญแคลอรีได้ถึง 150 แคลอรีเชียวนะ
19.หาวีดีโอหรือวีซีดีออกกำลังกายสักหนึ่งชุด แล้วเปลี่ยนห้องของคุณให้กลายเป็นเฮ็ลท์คลับส่วนตัว เปิดแอร์ได้ไม่ว่ากันค่ะ
20.เปลี่ยนนิสัยขี้เกียจ แล้วเริ่มหัดทำงานบ้านเสียบ้าง เพราะทุกสิ่งที่คุณทำล้วนเปรียบเสมือนได้ออกกำลังกายและเผาผลาญแคลอรีในตัว

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com