วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ทาน “บลูเบอร์รี่” ลดคอเลสเตอรอล

“บลูเบอร์รี่” นั้นสามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ค่ะ ใครที่ชอบรับประทานบลูเบอร์รี่ ผลไม้สีม่วงเข้ม เตรียมตัวเฮได้แล้วนะคะ
เนื่องจากมีการศึกษาล่าสุดเมื่อไม่นานนี้เองพบสารอาหารที่พบในผลบลูเบอร์รี่มีฤทธิ์สามารถลดระดับ คอเลสเตอรอลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นักวิจัยด้านเคมี Agnes Rimando จากสถาบัน U.S. Department of Agriculture กล่าวว่า สารอาหารที่ว่านี้มีชื่อว่า pterostilbene ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้าน อนุมูลอิสระชนิดหนึ่ง ทำให้มีผลในการลดคลอเลสเตอรอล ในร่างกายและเชื่อว่าน่าจะนำมาพัฒนาเป็นยาเพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วย ที่มีปัญหาเรื่องคอเลสเตอรอลสูง
อย่างไรก็ตามการค้นพบนี้ยังเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เนื่องจากเป็นเพียงการทดลองในหนูและจะต้องมีการพัฒนาเพื่อนำมาทดลองในมนุษย์ต่อไป ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าขนาดหวังผลการลดระดับคอเลสเตอรอลดังกล่าวในมนุษย์นั้นจะต้องรับประทานบลูเบอร์รี่จำนวนเท่าใด
จากข้อมูลการวิจัยพบว่าบลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีการระบุว่าเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ เป็นผลไม้ที่มีการพบปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง ที่ช่วยต้านการทำลายเซลล์ของร่างกาย และสารอีกหลายชนิดที่มีฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง
และจากผลวิจัยล่าสุดนี้เองที่พบว่าสารที่มีมากในบลูเบอร์รี่คือเพคตินที่ทำหน้าช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในร่างกาย และยังมีการวิจัยอื่นๆ อีกที่สนับสนุนว่า บลูเบอร์รี่ช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจำอีกด้วย
นักวิจัยยังกล่าวอีกว่าสาร pterostilbene ในบลูเบอร์รี่ที่ว่านี้มีคุณสมบัติคล้ายๆ กับ resveratrol ที่พบในองุ่นและไวน์แดง ซึ่งก็มีฤทธิ์ลดระดับคลอเลสเตอรอล เช่นกัน อีกทั้งมีนักวิจัยหลายท่านพบสาร pterostilbene นี้ในองุ่นด้วย แต่นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการพบในบลูเบอร์รี่
ในการศึกษานี้ได้ทำในมหาวิทยาลัยเภสัชศาสตร์มิสสิซิปปี้ (The University of Mississippi School of Pharmacy) โดยทดลองในเซลตับของหนูด้วยสารที่สกัดจากผลบลูเบอร์รี่ 4 ชนิดพบว่า pterostilbene จะให้ผลแรงที่สุดในการลดระดับคลอเลสเตอรอล และระดับไขมันในเลือด
ทั้งนี้ผลของมันมีฤทธิ์พอๆ กับ ciprofibrate ซึ่งเป็นยารักษาในผู้ป่วยที่มีปัญหาคอเลสเตอรอล และไขมันในเลือดสูง และมีฤทธิ์แรงกว่า resveratrol แต่ยา ciprofibrate ซึ่งเป็นยารักษาในปัจจุบันจะมีปัญหาอาการข้างเคียง เช่น ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน
ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่าสารจากบลูเบอร์รี่นี้จะมีประสิทธิภาพสูงแต่อาการข้างเคียงน้อยกว่า มันจึงน่าสนใจ มากกว่านั่นเองค่ะ

แหล่งที่มา http://www.pumpuishop.com